x close

ยายสี ผู้เฝ้าป่าดงกระแสน

ยายสี ผู้เฝ้าป่าดงกระแสน

ยายสี ผู้เฝ้าป่าดงกระแสน


ยายสี ผู้เฝ้าป่าดงกระแสน อายุ 98 ปีแล้ว แต่ยายสีไม่คิดจะหิ้งจิตวิญญาณนักสู้ (ฅ คน)

         สี สานาผา หญิงชราชาวบ้าน นาดอกไม้ ต.ท่าจำปา อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม  ใช้เวลาบั้นปลายของชีวิตตั้งแต่อายุ 70 ต่อสู้มา 18 ปี เพื่อปกป้องผืนป่าดงกระแสนให้เหลือเป็นสมบัติของลูกหลานในวันข้างหน้า

         ป่าดงกระแสน คือ ป่าชายบ้าน พื้นที่เกือบ 1,500 ไร่ เป็นสมบัติของคนบ้านนาดอกไม้ ด้วยมีทรัพยากรมากมาย ให้ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์มาตั้งแต่บรรพบุรุษเปรียบได้กับอู่ข้าวอู่น้ำหล่อเลี้ยงยามโหยหิวเป็นโรงหมอที่เต็มไปด้วยพืชสมุนไพร ยามเจ็บไข้ เป็นแหล่งเกิดสรรพชีวิต และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชาวท่าจำปามาตั้งแต่เริ่มตั้งรกราก เมื่อ 200 ปีก่อน

         "...มันมีทั้งข่า หวาย ผักกูด ผักหนาม มีครบ ต้นไม้ก็มี ก่อ ยางมะไฟ เห็ด ก็มีทุกชนิด"

         ความทรงจำของหญิงอายุ 98 ยังเด่นชัดราวกับเมื่อวาน ยายสีดูมีความสุขยามได้ย้อนความถึงผืนป่าที่แกรัก ชีวิตของยายผูกพันกับป่ามาตั้งแต่เด็กจนแก่ เพราะต้องเข้าไปหาของป่า และรมน้ำมันยางเอาไปชายที่ตลาด หาเงินเลี้ยงลูกทั้ง 14 คน จนกระทั่งเติบโตมาถึงทุกวันนี้ เรียกได้ว่า ทุกชีวิตต่างติดหนี้บุญคุณของดงกระแสน

         ชาวบ้านมีชีวิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับป่ามาเนิ่นนาน จนกระทั่งในปี 2534 มีนายทุนจากภาคตะวันออกต้องการขยายพื้นที่เพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว จึงเข้ามาลงทุนกว้านซื้อที่ดินของชาวบ้าน ทั้งมีและไม่มีเอกสารสิทธิเป็นเงินร่วม 10 ล้านบาท

         ยายสีเห็นว่าคงไม่ได้การ หากปล่อยไว้อู่ข้าวอู่น้ำของชาวท่าจำปามีหวังเสียหาย ผืนป่าบางส่วนจำนวนหลายร้อยไร่ก็จะกลายเป็นสวนยางพารา ซึ่งมีเจ้าของผูกขาด แกจึงเป็นคนแรกที่พยายามต่อสู้เพื่อปกป้องดงกระแสนไว้ให้ลูกหลานกระย่องกระแย่งไปร้องเรียนนายอำเภอให้ตรวจสอบการบุกรุกป่า แต่เมื่อไม่ได้รับการเหลียวแลแกก็บุกไปร้องต่อถึงผู้ว่าราชการจังหวัดอย่างไม่ลดละ แม้ว่าจะถูกข่มขู่เอาชีวิตหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดที่จะทำให้แกหวาดหวั่น

         "มีคนจากกรุงเทพฯ จะมาซื้อที่ ให้เงิน 300,000 ฉันบอกเงินเท่านั้นยังไม่เท่าไม้ยาง 3 ต้นเลย อย่าว่าแต่ 300,000 ล้านฉันก็ไม่ขายให้"

         ท่าที่ไม่ยอมคนของแม่ใหญ่เสมือนสัญลักษณ์สำคัญที่ไปช่วยปลุกเร้าให้ชาวบ้านละแวกท่าจำป่าลุกขึ้นมาต่อสู้ร่วมด้วยอีกมาก จนในที่สุดป่าดงกระแสนก็ได้รับการประกาศให้เป็น "ป่าชุมชน" มีการออกเอกสารสิทธิเป็นที่ดินสาธารณะและแบ่งผืนป่าเพื่อผลประโยชน์อย่างชัดเจน โดยทั้งอยู่ในความดูแลของชาวบ้าน ไม่อาจขายเปลี่ยนมือให้นายทุนได้อีกต่อไป

         เรียกได้ว่าเป็นชัยชนะของชาวบ้านที่ลุกฮือขึ้นมาเพราะยายแก่คนหนึ่ง

         จากหญิงสาว กลายเป็นแม่ จนเป็น ยาย และเป็นทวดในวันนี้ ยายสียังคงแน่วแน่ในเจตนารมณ์เดิมไม่เปลี่ยนแปลงนั่นคือ คนควรจะอยู่กับป่า ในวัยที่เป็นเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง แม่ใหญ่สียังคงต่อสู้อยู่ด้วยการถ่ายทอดสำนึกในคุณค่าของผืนป่าที่มีต่อชีวิตให้กับลูกหลานรุ่นแล้วรุ่นเล่า จนเกิดเป็นสำนึกร่วมกันของชุมชนในการลุกขึ้นมารักษาผืนป่าอันเป็นฐานทรัพยากรของท้องถิ่นให้ยังคงความอุดมสมบูรณ์มาจนถึงทุกวันนี้

         ตลอดชีวิตของการต่อสู้ แม่ใหญ่สีไม่เคยต้องการอะไรจากผืนป่า นอกจากขอไม้เพียงต้นเดียว... เอาไว้ต่อโลงศพในยามสิ้นใจ

         เพื่อว่าดวงวิญญาณของแม่ใหญ่จะได้อยู่ปกป้องผืนป่าดงกระแสนไปตราบนานเท่านาน...

 คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ

 




ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
 
หนังสือ ฅ คน ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (49) พฤศจิกายน 2552

 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ยายสี ผู้เฝ้าป่าดงกระแสน อัปเดตล่าสุด 12 พฤศจิกายน 2552 เวลา 14:03:37 27,119 อ่าน
TOP