x close

ก.ตร. คลอดโผ 36 นายพล สัณฐาน คุมนครบาล

สุเทพ เทือกสุบรรณ

สุเทพ เทือกสุบรรณ


ก.ตร. คลอดโผ 36 นายพล สัณฐาน คุมนครบาล (คมชัดลึก)

          ในที่สุดการแต่งตั้งโยกย้ายนายพลก็ผ่านความเห็นชอบจาก ก.ตร.เรียบร้อยแล้ว หลังจากการประชุมล่มไม่เป็นท่ามาแล้วหลายครั้ง โดยเมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 16 พฤศจิกายน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. เดินทางมาเป็นประธานในการประชุม ก.ตร. ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคาร 1 ทั้งนี้ ก.ตร.ประกอบด้วย รรท.ผบ.ตร., รอง ผบ.ตร. ซึ่งเป็น ก.ตร.ในตำแหน่งเข้าประชุมตามปกติ ส่วน ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิที่มี 10 คน มีกรรมการที่แสดงเจตจำนงไม่เดินทางมาประชุม ลาการประชุม 4 คน ได้แก่ นายสีมา สีมานันท์ นายชัยเกษม นิติสิริ นายสมศักดิ์ บุญทอง ซึ่งทั้ง 3 คนอยู่ในคณะกรรมการคัดเลือกชุดเก่า ส่วน พล.ต.ท.อำนวย ดิษฐกวี ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการตรวจสอบการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการตำรวจ และเป็นหนึ่งใน ก.ตร.ที่ถูกนำเอกสารมาเผยแพร่เรื่องฝากตำรวจมาด้วย

          นางเบญจวรรณ สร่างนิทร เลขาธิการ ก.พ. กล่าวก่อนเข้าประชุมว่า ไม่หนักใจที่ได้รับเลือกเป็นประธานบอร์ดกลั่นกรองชุดใหม่ เพราะที่ผ่านมาก็เคยมีประธานบอร์ดเป็นผู้หญิง เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา ส่วนจะดูแลเรื่องการประชุมให้ลุล่วงหรือไม่นั้น ต้องรอ ก.ตร.พิจารณารับรองก่อน แต่เชื่อว่าการประชุมจะเรียบร้อย พล.ต.อ.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ กล่าวว่า นางเบญจวรรณ เป็นผู้หญิงที่เก่ง เป็นผู้หญิงเหล็ก และยังเป็น ก.ตร.อยู่แล้ว จึงไม่น่ามีปัญหา



          เมื่อถามว่า การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจครั้งนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งใดหรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงใดๆ จะต้องตอบสังคมและประชาชนให้ได้ นอกจากนี้ ในบอร์ดกลั่นกรองครั้งที่แล้วได้รับหลักเกณฑ์เรื่องการเลื่อนตำแหน่งจากรอง ผบช. ขึ้น ผบช. จาก 2 ปี เป็น 4 ปี โดยมีนายตำรวจที่ครบหลักเกณฑ์ในส่วนของ 4 ปี จำนวน 26 คน ซึ่งได้พิจารณาไปแล้ว แต่ถ้านำนายตำรวจที่ดำรงตำแหน่ง รองผบช. 2 ปี มาพิจารณาด้วยหรือไม่ก็ขึ้นกับที่ประชุม

          ต่อมาเวลา 13.55 น. ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้วอล์กเอาท์จากห้องประชุม โดยมี พล.ต.อ.พิชิต ควรเดชะคุปต์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ เดินตามออกมาในเวลา 14.00 น. โดย ร.ต.อ.ปุระชัยกล่าวถึงสาเหตุที่เดินออกจากห้องประชุม เพราะยึดมั่นในหลักการที่ควรจะแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ก่อน พร้อมทั้งระบุว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวว่ารู้สึกพอใจหรือไม่พอใจอะไร แต่เป็นการแสดงว่าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

          เมื่อถามว่า แล้วที่ประชุมคิดอย่างไรที่วอล์กเอาท์ออกมา ร.ต.อ.ปุระชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมา พล.ต.อ.พิชิตแสดงความเห็นว่าจำนวนบอร์ดกลั่นกรองนั้นมีจำนวนเกินกึ่งหนึ่งจึงไม่เหมาะสม ซึ่งตนก็เห็นด้วยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ควรหารือในที่ประชุม แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีหนังสือเวียนว่ามีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ ซึ่งตนไม่ได้ยึดติดในเรื่องตัวบุคคล แต่เรื่องนี้เคยมีปัญหาก็ควรนำเข้าสู่ที่ประชุมเพื่อพิจารณา แม้เสียงส่วนใหญ่จะเห็นด้วย แต่จะให้ตนไปสนับสนุน มันผิดหลักการ ทำไม่ได้

          เมื่อถามว่า สาเหตุใดจึงไม่เห็นด้วยกับเสียงส่วนใหญ่ ร.ต.อ.ปุระชัย กล่าวว่า เสียงส่วนใหญ่ต้องเห็นชอบด้วยหลักเกณฑ์และกฎหมายก่อน แต่ตอนนี้เสียงส่วนใหญ่เห็นว่าทำได้ แต่จริงๆ แล้วตามหลักการ ทำไม่ได้ ตนจึงไม่อยากร่วมรับผิดชอบด้วย โดยเฉพาะตนสอนวิชารัฐศาสตร์ด้วยก็ต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง

          ต่อข้อถามที่ว่า การวอล์กเอาท์นั้น เป็นลักษณะของการป่วนหรือไม่ ร.ต.อ.ปุระชัย กล่าวว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องของหลักการ เป็นเรื่องของคุณธรรม ส่วนกรณีที่หนังสือพิมพ์หลายฉบับเสนอข่าวเรื่องตนช่วยให้ลูกชายรับราชการตำรวจว่า ตอนนั้น ตนเป็นรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2547-14 มกราคม 2548 ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเข้ารับราชการตำรวจของลูกชาย เพราะขณะนั้นลูกชายได้สมัครเป็นทหารเกณฑ์ 6 เดือน มาปรึกษาว่าจะไปสมัครเป็นตำรวจซึ่งกำลังต้องการสายงานด้านฟิสิกส์ ตามที่ลูกจบมา แม้ตนรู้ระบบงานตำรวจดี แต่ไม่ได้สนับสนุน เพราะคิดว่าลูกโตแล้ว ตนคงไม่ได้ไปกำหนดชีวิตลูกชาย แต่ได้กำชับว่า ทำอย่างไรก็ได้ อย่าให้ตนไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้ขณะนั้นตนจะเป็นประธาน ก.ตร.ก็ตาม แต่ตอนนั้นเป็นอำนาจของ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร.สมัยนั้น ลงนามเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2548 ซึ่งตอนนั้นตนหมดหน้าที่รองนายกฯ แล้ว

          รายงานข่าวแจ้งว่า ขั้นตอนการรับ ร.ต.ท.ธรรมาธิปต์ เปี่ยมสมบูรณ์ ลูกชายของ ร.ต.อ.ปุระชัย เริ่มจากสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ต้องการบรรจุข้าราชการตำรวจ โดยรับคุณวุฒิด้านฟิสิกส์ เพียง 1 นายเท่านั้น แต่ปรากฏว่า ร.ต.ท.ธรรมาธิปต์ ติดขัดกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามการเป็นข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2547 ข้อ 2 (11) ที่กำหนดว่า ต้องไม่เป็นผู้ที่มีสายตาผิดปกติ แต่ถ้าแพทย์ตรวจให้ตรวจไปตามปกติ ถ้าจะขอยกเว้นให้ สตช.เป็นผู้ยกเว้นว่าเป็นคุณสมบัติของบุคคลที่ต้องเข้ามา ซึ่ง พล.ต.อ.โกวิทได้ดำเนินการยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษ ปัจจุบัน ร.ต.ท.ธรรมาธิปต์ ดำรงตำแหน่ง รอง สว.สนว. ช่วยราชการสำนักงาน พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพานิชย์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เพื่อนร่วมรุ่น นรต.25 รุ่นเดียวกับ ร.ต.อ.ปุระชัย

          ผู้สื่อข่าวรายงานจำนวนกรรมการ ก.ตร. โดยรวมประธานก.ตร.ด้วย ซึ่งจะมีจำนวน 22 คน ก่อนหน้านี้ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิได้ลาออกไป 1 คน และขณะนี้ยังไม่มีการตั้งทดแทน และวันนี้ (16 พ.ย.) มีกรรมการขาดประชุม 4 คน วอล์กเอาท์ 2 คน และมีตำแหน่งผบ.ตร. รองผบ.ตร.อีก 2 คน ที่เกษียณอายุราชการโดยไม่มีการตั้งแทน ทำให้เหลือ จำนวนกรรมการในห้องประชุม 12 คน

          ต่อมาเวลา 14.30 น.นางเบญจวรรณ สร่างนิทร เลขาธิการก.พ.ประธานบอร์ดกลั่นกรองได้ประชุมบอร์ดกลั่นกรองทันทีหลังจาก ก.ตร.เห็นชอบบอร์ดกลั่นกรองใหม่ โดย ใช้เวลาในการประชุมประมาณ 2 ชั่วโมง

          จากนั้นเวลา 17.00 น.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะประธานก.ตร.ได้เดินทางกลับมาประชุมก.ตร.อีกครั้งเพื่อพิจารณาวาระการแต่งตั้งโยกย้าย ระดับรองผบ.ตร.- ผบช. ที่รายชื่อผ่านจากบอร์ดกลั่นกรองมาแล้ว ซึ่งบรรยากาศการประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียดหลังจากประชุมไปประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็มีการพักรับประธานอาหาร จากนั้นก็ได้ทำการประชุมต่อ

          ต่อมาเวลา 19.45 น.นายสุเทพ ได้ตัดสินใจพักการประชุม เนื่องจากมีปัญหาในการพิจารณาตำแหน่งผบช.ส. ซึ่งไปพันกับตำแหน่ง ผบช.ปส. ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงรายชื่อจากบอร์ดกลั่นกรองหลายตำแหน่ง จนกระทั่งเวลา 20.40 น.จึงเริ่มการประชุมอีกครั้ง โดยที่ประชุมได้มีมติให้มีการประชุมบอร์ดกลั่นกรองอีกครั้ง เนื่องจากเห็นว่ามีบางรายชื่อที่อยู่ในบัญชีแต่งตั้งโยกย้าย ไม่ได้ผ่านบอร์ดกลั่นกรอง

          จนกระทั้งเวลา 21.30 น. การประชุม ก.ตร.ชุดใหญ่ก็ยังไม่ได้ข้อยุติเรื่องการแต่งตั้งนายตำรวจระดับผู้บัญชาการ โดยเฉพาะตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ซึ่งบอร์ดกลั่นกรองมีความเห็นเสนอชื่อ พล.ต.ต.อดิเทพ ปัญจมานนท์ รอง ผบช.ปส. ให้ขึ้นดำรงตำแหน่ง แต่ที่ประชุม ก.ตร.มีความเห็นแย้งว่า น่าจะให้ พล.ต.ต.ตรีทศ รณฤทธิวิชัย รอง ผบช.สตม. ดำรงตำแหน่ง เพราะมีคุณสมบัติและความเหมาะสม อีกทั้งยังเป็นลูกหม้อสันติบาล แต่ ก.ตร.หลายคนคัดค้าน โดยให้เหตุผลว่า หากเลือก พล.ต.ต.ตรีทศ ก็จะกระทบกับอีกหลายตำแหน่ง เพราะจะต้องให้ พล.ต.ต.อดิเทพ ขึ้นเป็น ผบช.ปส. ทำให้ต้องย้าย พล.ต.ท.วุฒิ ลิปตพัลลภ ผบช.ปส. ไปเป็น ผบช.สตม. ซึ่งตามโผกลั่นกรอง พล.ต.ต.ม.ล.พันธ์ศักดิ์ เกษมสันต์ รอง ผบช.ก.ตร. จะขึ้นเป็น ผบช.สตม. จึงต้องให้ไปอยู่ในตำแหน่งประจำ

          ส่วนตำแหน่ง ผบช.ภ.1 ก็มีปัญหาเช่นกัน เนื่องจากมีความพยายามจะให้ พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รอง ผบช.น. มาเป็น ผบช.ภ.1 ทำให้ที่ประชุมต้องสั่งให้มีการกลั่นกรองในบางตำแหน่งอีกครั้ง กระทั่งเวลา 22.00 น. นายสุเทพ เดินออกจากห้องประชุม เพื่อให้บอร์ดกลั่นกรองพิจารณาโผอีกครั้ง

          รายงานข่าวแจ้งว่า สาเหตุที่ยังไม่ได้ข้อยุติในที่ประชุม ก.ตร. เนื่องจากหลายฝ่ายต้องการให้คนของตัวเองได้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ จึงมีการโต้แย้งกันจนที่ประชุมต้องโหวตให้มีการกลั่นกรองอีกครั้ง

          อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 23.00 น. ก็ได้ข้อยุติ โดยให้ พล.ต.ท.อดิเทพ เป็น ผบช.ปส. พล.ต.ต.ตรีทศ เป็น ผบช.ส. พล.ต.ท.วุฒิ เป็น ผบช.ตม. พล.ต.ท.กฤษฎา เป็นผบช.ภ.1 พล.ต.ต.เดชาวัตร เป็น ผบช.ภ.3 พล.ต.ต.เฉลิมชัย ขึ้นเป็น ผบช.ภ.4   ส่วน พล.ต.ต.พงษ์สันต์ ขึ้นเป็น ผบช.ภ.7 พล.ต.ท.พิทักษ์ เป็น ผบช.ภ.8 ส่วนพล.ต.ท.วีระยุทธ ขึ้นเป็น ผบช.ภ.9

          ดังนั้นรายชื่อข้าราชการตำรวจที่ผ่านคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ครั้งที่ 15 วันที่ 16 พ.ย. ในระดับ รองผบ.ตร. ที่ว่างลง 2 ตำแหน่ง ได้โยก พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ปรึกษา (บ.10)ด้านความมั่นคง1และพล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต ที่ปรึกษาสบ 10 ด้านความมั่นคง 2 เข้าดำรงตำแหน่ง รองผบ.ตร.ในตำแหน่งหลัก และการเลื่อน พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส (นรต.27) ผช.ผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว (นรต.29) อาวุโสอันดับ 2 และพล.ต.ท. ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา (นรต.28) ผช.ผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 3 ขึ้นเป็นที่ปรึกษา(สบ 10) เทียบเท่ารองผบ.ตร.

          ระดับ ผช.ผบ.ตร.เลื่อน พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.(นรต.30) พล.ต.ท.ประชิน วารี จตร.(สบ8) ขึ้นเป็น รองจตร.(สบ9) เทียบ เท่า ผช.ผบ.ตร. แทน พล.ต.ท.พรชัย พันธุ์วัฒนา รองจตร.(สบ9) ที่เออร์ลี่รีไทร์ พล.ต.ท. จิโรจน์ ไชยชิต ผบช.ศ.(นรต.28) ขึ้นเป็น ผช. ผบ.ตร. พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผบช.ส. ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ตร. พล.ต.ท.บรรจง ตันศยานนท์ จตร.(สบ8) ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ตร. พล.ต.ท. สถาพร ดวงแก้ว รองจตร.(สบ.9) โยกเป็นผช.ผบ.ตร.ตำแหน่งหลัก และให้ พล.ต.ท.ฉัตรชัย โปตระนันทน์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. เป็น รองจตร.(สบ.9) พล.ต.ท.ชลธาร จิราณรงค์ ผบช.นรป. ขึ้นเป็น รอง.นรป.(สบ9)

          ส่วนตำแหน่งระดับ ผบช. สำหรับ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.ภ.8(นรต.28) คนสนิทนายสุเทพ ย้ายมานั่งเป็น ผบช.น. พล.ต.ต. เดชาวัต รามสมภพ รองผบช.ภ.3 คนสนิทนายเนวิน ชิดชอบ ขึ้นเป็นผบช.ภ.3 พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผบช.ภ.3.ย้ายเป็น ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.สันติ เพ็ญสูตร รองผบช.ภ.9 ขยับขึ้นเป็นผบช.ภ.4 พล.ต.ต.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน รองผบช.น. คนสนิทนายชวน หลีกภัย อดีต นายกฯ เป็นผบช.ภ.7 พล.ต.ท.ถวิล สุรเชษฐพงษ์ ผบช.ภ.7 เป็น จตร.(สบ8) พล.ต.ต.พิทักษ์ จารุสมบัติ รองผบช.สตม. เป็น ผบช.ภ.8 พล.ต.ท. วีรยุทธ สิทธิมาลิก ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. คนสนิท พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. เป็นผบช.ภ.9 พล.ต.ท.ธีระยุทธ กิติวัฒน์ ผบช.งป.เป็น ผบช.สกบ. พล.ต.ท.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ผบช. สตม. โยกเป็น ผบช.ศ.

          พล.ต.ต.อติเทพ ปัญจมานนท์ รองผบช.ปส. ขยับขึ้นเป็นผบช.ปส.พล.ต.ท.วุฒิ ลิปตพัลลภ ผบช.ปส.ย้ายเป็น ผบช.สตม. พล.ต.ต.ตรีทศ รณฤทธิวิชัย รอง ผบช.ส. ขยับขึ้นเป็นผบช.ส.พล.ต.ท. อุดม รักศีลธรรม จตร.(สบ.8) เป็น ผบช.สตส. พล.ต.ต.ยงยุทธ เตียวตระกูล รองผบช.ภ.7 เป็น จตร.(สบ.8) พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รองผบช.น. ขึ้นเป็น จตร.(สบ8) พล.ต.ต.ณัฐพิชย์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รองผบช.ปส. เป็น ผบช.สกพ. พล.ต.ต.ธนากร ศิริอัฐ รองผบช.สตม. ขึ้นเป็น ผบช.งป. พล.ต.ต.จงเจตน์ อาวน์เจนพงศ์ รองนายแพทย์ใหญ่(สบ7) เป็นนายแพทย์ใหญ่(สบ 8) พล.ต.ต.ไตรรัตน์ อมาตยกุล นรป.(สบ7) ขึ้นเป็น ผบช.นรป. (สบ8) พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รอง.ผบช.น. เป็น ผบช.ประจำ.สง.ผบ.ตร.พล.ต.ต.คัคคพงศ์ ศรีพาณิชย์ รองผบช.ส. เป็นผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. พล.ต.ต.ภัทรชัย หิรัญญะเวช รองผบช.กมส. เป็นผบช.ประจำสง.ผบ.ตร.พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง.ผบช.น.คนสนิท นายเนวิน ชิดชอบ ได้รักษาการ ผบช.ประจำ.สง.ตร.(ทนท.ประสานนายกรัฐมนตรี) เนื่องจากไม่ครบหลักเกณฑ์ เนื่องจากครองตำแหน่งรองผบช.เพียง 1 ปี เท่านั้น

          ด้านพล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงภายหลังการประชุม ว่า คณะกรรมการก.ตร.ได้ใช้เวลานานในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายในครั้งนี้ เนื่องจากการแต่งตั้งระดับรองผบ.ตร.-ผบช.ต้องทำอย่างรอบคอบ เนื่องจากเป็นตำแหน่งสำคัญ และคณะกรรมการคัดเลือก ได้ใช้เวลายาวนานในการพิจารณา ซึ่งการแต่งตั้งครั้งนี้มีทั้งหมด 36 ตำแหน่ง เป็นรองผบ.ตร.หมุนเวียน 2 ตำแหน่ง ระดับผู้ช่วยผบ.ตร.ขึ้นรองผบ.ตร. 3 ตำแหน่ง ผู้ช่วยผบ.ตร.หมุนเวียน 1 ตำแหน่ง ผบช.ขึ้นผู้ช่วยผบ.ตร. 7 ตำแหน่ง ผบช.หมุนเวียน 8 ตำแหน่ง รองผบช.ขึ้นผบช.15 ตำแหน่ง

          พล.ต.ท.พงศพัศ กล่าวว่า ในระดับรองผบ.ตร.และผู้ช่วยผบ.ตร.ยึดหลักอาวุโส 100 เปอร์เซ็นต์ ระดับรองผบช.ขึ้นผบช.ยึดหลักอาวุโส 25 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือเป็นไปตามบัญชีความเหมาะสม ซึ่งตำแหน่งที่ผ่านมติการประชุมก.ตร.ในครั้งนี้ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. จะมีคำสั่งรักษาราชการแทนโดยทันที เพื่อเปิดโอกาสให้ผบช.ใหม่ไปทำบัญชีรองผบช.-ผบก.ที่จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาแต่งตั้งในวันที่ 23 พ.ย. เวลา 14.00 น. ซึ่งระดับนายพลทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 23 พ.ย. และจะพิจารณาสิทธิต่าง ๆ รวมถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทั้งนี้ ในที่ประชุม ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ และ พล.ต.อ.พิชิต ควรเตชะคุปต์ ไม่เข้าร่วมประชุม เนื่องจากทั้งสองท่านยึดหลักการเดิม ส่วนก.ตร.อีก 4 ท่าน ที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมทาง รรท.ผบ.ตร.ได้สั่งการให้สำนักงานก.ตร.ส่งหนังสือเชิญก.ตร.ทั้ง 4 ท่าน ให้เข้าประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งไม่ได้เป็นการบังคับ เพียงแต่อยากให้ ก.ตร.ทุกท่านมาช่วยกันพิจาณาร่วมกัน

          ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมถึงต้องมีการประชุมบอร์ดกลั่นกรองถึง 2 รอบ พล.ต.ท.พงศพัศ กล่าวว่า เมื่อในที่ประชุมก.ตร.ที่ไม่เห็นด้วยตามรายชื่อที่บอร์ดกลั่นกรองเสนอมา ก็สามารถให้บอร์ดกลั่นกรองนำกลับไปพิจารณาใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งมีหลายตำแหน่งที่บอร์ดกลั่นกรองก็ยึดตามเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็มีอีกบางตำแหน่งที่มีการเปลี่ยนแปลงตามที่ก.ตร.ติติง แต่ทุกอย่างเป็นไปตามกมฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้ง




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยรัฐ ,ข่าวสด

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ก.ตร. คลอดโผ 36 นายพล สัณฐาน คุมนครบาล อัปเดตล่าสุด 17 พฤศจิกายน 2552 เวลา 18:10:16 8,705 อ่าน
TOP