x close

กูรูฟันธง...สินทรัพย์รับปีเสือ


กูรูฟันธง...สินทรัพย์รับปีเสือ (ไทยรัฐ)

          นายวชิร คูณทวีเทพ อาจารย์ประจำศูนย์พยากรณ์ เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึง สินทรัพย์ที่น่าลงทุนในปี2553ว่า ทองคำยังอยู่ในเทรนด์ต่อ โดยแนวโน้มราคาคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น มีการเก็งกำไร กันมากขึ้น จึงทำให้มีความเสี่ยงสูงขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามหากปี 2553 เศรษฐกิจฟื้นตัวจริง สิ่งที่จะกลับมาน่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากราคา อสังหาฯในปี 2552 ยังต่ำอยู่
          
          "ทองกับอสังหาฯได้เลย เพราะทองมองในรูปของการออม จะเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าสามารถเก็บได้ยาว เป็นทองแท่ง  ถ้าลดความเสี่ยงคืออย่าซื้อเก็งกำไรล่วงหน้า ก็เป็นการออมที่ดี  แต่คาดว่าจะมีความผันผวนอยู่ในระดับหนึ่ง ส่วนอสังหาฯ หากเศรษฐกิจฟื้นสิ่งจะกลับมาคึกคักและมีทิศทางที่สดใสขึ้น ทั้งนี้ ทองคนทั่วไปสามารถซื้อได้คนมีรายได้ระดับกลาง แต่ถ้าอสังหาริมทรัพย์ต้องเป็นคนที่พอมีทุน ก็เลยมองว่า น่าจะทั้ง 2 อย่าง" นายวชิร กล่าว



          อาจารย์ประจำศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังกล่าวถึงการลงทุนในตลาด หลักทรัพย์ ว่า แนวโน้มเป็นหุ้นใหญ่ๆอย่างแบงก์  เพราะเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว ส่วนหุ้นกลุ่มอสังหาฯ โดยเฉพาะกลุ่มรับเหมาก่อสร้างก็น่าจะดีขึ้น  เพราะมีโครงการไทยเข้มแข็งที่น่าจะช่วยได้มาก 

          ด้าน ดร.ณคุณ ธรณีนิติญาณ หัวหน้าสาขาวิชา การเงินและการธนาคาร คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม กล่าวว่า ในปี 2553 ทองคำยังน่าสนใจ  เพราะแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯยังอ่อนค่าอยู่ โดยแนะนำให้ลงทุนในระยะสั้นเท่านั้น แต่หากต้องการ ลงทุนในระยะยาวผมยังไม่แนะนำอะไร เพราะปัจจัยความ ไม่แน่นอนทางการเมืองยังถือเป็นประเด็นที่สำคัญอยู่  ส่วนการเล่นระยะกลางขอเแนะนำเป็นอสังหาริมทรัพย์  ทั้งคอนโด หรือ ที่อยู่อาศัยก็ได้ แต่จะต้องอยู่ในแนว รถไฟฟ้าไม่เกิน 400 เมตรเท่านั้น



          ส่วนการเล่นในตลาดทองคำจะถือเป็นทองแท่งหรือเล่น ในตลาดโกลด์ฟิวส์เจอร์นั้น แล้วแต่นโยบายของนักลงทุน แต่ในระยะสั้นถ้าจะให้เห็นผลแนะนำให้เล่นโกลด์ฟิวส์เจอร์ ดีกว่า เพราะจะเห็นผลกำไรเลย แต่ถ้าจะให้แนะนำ จริงๆให้รอดูสถานการณ์ เพราะในมุมยาวน่าจะยังติด ปัญหาความมั่นคงของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องการ ลงทุนว่าจะออกมาในรูปไหน เนื่องจากการลงทุน ในประเทศไทยมากกว่า 80-90% จะอิงอยู่ในภาคการเมือง

          ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป ให้คำแนะนำว่า สินทรัพย์ที่น่าลงทุนในปี 2553 จะขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุน ผลตอบแทน สภาพคล่องและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละคน โดยปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดสินทรัพย์การลงทุนของแต่ละคน

          หากพิจารณาโดยภาพรวมแล้ว สินทรัพย์ที่น่าลงทุนในปี 2553 จะขอแบ่งกลยุทธการลงทุนเป็นสองระยะ ระยะครึ่งปีแรก ได้แก่ กองทุน FIF ที่ลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Greater China (ประกอบไปด้วย จีน ไต้หวัน ฮ่องกง) สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมัน สินค้าเกษตร และทองคำมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นแต่ยังพอลงทุนได้ เมื่อดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวแข็งขึ้นระยะครึ่งปีหลัง ลงทุนในตราสารหนี้ และพันธบัตรในประเทศ โดยถือตราสารสั้นก่อนในระยะแรกจนกว่า ดอกเบี้ยปรับตัวใกล้จุดสูงสุดในรอบใหม่ จึงถือตราสารที่มีอายุยาวขึ้น Duration ยาวขึ้น

          ในตลาดหลักทรัพย์กลุ่มที่จ่ายเงินปันผลดี ได้แก่กลุ่มพลังงาน กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มอุตสาหกรรมสุขภาพ กลุ่มเกษตรส่งออก กลุ่มธนาคาร สามารถลงทุนได้ทั้งปี แต่ต้องเข้าลงทุนในจังหวะที่ถูกต้องเมื่อราคาอ่อนตัว เทขายเมื่อราคาปรับขึ้นไปประมาณ 10-20% ควรเข้าเร็วออกเร็วเพราะมีความผันผวนสูงมาก หากต้องการลงทุนในกิจการหรือธุรกิจ ควรเลือกธุรกิจแห่งอนาคต เช่น ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจเกษตร ธุรกิจท่องเที่ยว อุตสาหกรรมสุขภาพ

          สำหรับทองคำยังน่าลงทุนตราบเท่าที่ดอลลาร์สหรัฐฯ ยังอ่อนค่าอยู่ แต่เชื่อว่า ฟองสบู่ในตลาดเก็งกำไรทองคำน่าจะแตกในปี 2553 ซึ่งคาดว่าจะเป็นในช่วงครึ่งปีหลังมากกว่า ดังนั้นในช่วงครึ่งปีแรก ยังคงลงทุนได้อยู่ แต่มาร์จินหรือส่วนต่างราคาจะไม่มาก และความเสี่ยงสูงขึ้น หากลงทุนแล้วขายไม่ทันอาจต้องถือยาว

          ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2553 จะกระเตื้องขึ้น เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก แต่อาจไม่ได้ฟื้นตัวดีเหมือนประเทศอื่น เนื่องจากปัจจัยรุมเร้า โดยเฉพาะ กรณีมาบตาพุดที่อาจยืดเยื้อกระทบการลงทุนทั้งระบบ เงินบาทแข็ง อัตราเงินเฟ้อสูงสร้างแรงกดดันต่ออัตราดอกเบี้ยให้ปรับตัวสูงขึ้น ความเสี่ยงของความรุนแรงทางการเมือง ประกอบกับช่วง2-3เดือน มีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติม ทั้งวิกฤตการณ์หนี้สินดูไบ เวียดนามลดค่าเงิน กรณีมาบตาพุด เป็นต้น จึงมองการเติบโตไทยปีหน้า ค่อนข้างระมัดระวังและมีการปรับประมาณการจากอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2553 ร้อยละ 2-3 (คาดการณ์เดือนตุลาคม 52) เป็น ร้อยละ 1.1-2.2 (ปรับประมาณการเดือนธันวา 52) ซึ่งต่ำกว่าทุกสำนัก

          ขณะที่ นายบัญชา ชุมชัยเวทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ แสดงความเห็นว่า สินทรัพย์ที่ยังปลอดภัยและยังไปต่อ ก็ยังเป็นทองคำ แต่ที่จะผันผวนและปวดหัวจะเป็นในเรื่องของตลาดหลักทรัพย์ แต่หากจะจัดสรรการลงทุนในปีหน้า สิ่งที่ให้ผลตอบแทนคงหนีไม่พ้นทอง ตลาดหลักทรัพย์ และพันธบัตรรัฐบาลที่กำลังจะออกในปี 2553 สำหรับเหตุผลที่ทองคำน่าลงทุนในปี 2553 เพราะจากส่วนต่างกำไรจากการขยายตัว และทองหากเกิดความผันผวนทองคำ จะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

          ส่วนตลาดหลักทรัพย์ยังเป็นเรื่องที่น่าลงทุนแต่มีความเสี่ยงสูงเมื่อเทียบกับตัวอื่น และการลงทุนในปี 2553 จะมีภาวะการณ์หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น

          1. บริษัทเดิมจะทำกำไรได้ดีขึ้นจากจุดต่ำสุดในปี 2552 หรือไม่

          2. จะมีบริษัทฯ จดทะเบียนตามเป้าหรือไม่ เพราะช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยไม่ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้

          3. ปัจจัยต่าง ๆ ที่ยังไม่มีความชัดเจนทั้งเรื่อง มาบตาพุด เงินลงทุนจากต่างประเทศที่เกิดจากดอลลาร์สหรัฐฯ ยังอ่อนตัวต่อ รวมไปถึงกฎเกณฑ์ใหม่ๆในวงการตลาดหลักทรัพย์ เช่นการเทรดเสรีโดยไม่เก็บค่าคอมมิชั่น ซึ่งปี 2553 จะเห็นการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งจุดนี้จะเอื้อประโยชน์ให้การเทรดมากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงเครื่องไม้เครื่องมือส่วนอื่น ๆ ที่จะเข้ามาเป็นตัวเสริมตลาดหุ้น

          สำหรับตลาดทองคำจะเล่นในตลาดโกลด์ฟิวส์เจอร์หรือทองคำแท่งนั้นแล้วแต่นักลงทุนแต่ละประเภท หากเป็นพวกชอบความเสี่ยงต่ำ แนะนำให้ลงทุนในทองคำแท่ง เพราะหากซื้อมาและราคาตก ยังไงก็ยังเป็นทองที่สามารถจับต้องได้และขายต่อได้ราคาในปีหน้าหรือปีถัดไป แต่ในโกลด์ฟิวส์เจอร์จะเห็นได้ชัดว่าในปี 2553 จะลดมูลค่าสัญญาจาก 50 ลงมาเหลือ 10 นั่นก็หมายความว่าจะมีคนที่เข้ามาเล่นในโกลด์ฟิวส์เจอร์มากขึ้น ดังนั้นจะมีความเสี่ยงในเรื่องของการขึ้นเมนเทรนด์ 10% มาร์จิ้น

          อย่างไรก็ตามในตลาดอสังหาฯ จะอยู่กับการต่อมาตรการของภาครัฐ ว่าที่สุดแล้วมาตรการซื้อบ้านใหม่โอนภายในปี 2552 จะยืดไปถึงสิ้นปี 2553 หรือไม่ โดยมาตรการดังกล่าวจะเป็นผลดีกับพวกซื้อบ้านเพื่ออยู่จริง ส่วนซื้อเพื่อการลงทุนจะมีกฎครอบคลุมไว้ว่าซื้อแล้วจะต้องไม่ขายภายใน 3 เดือนหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ถือว่าดอกเบี้ยก็มีส่วนช่วย

          มาตรการอสังหาริมทรัพย์กลุ่มเจ้าของผู้ประกอบการรัฐจะยังต่อให้หรือไม่ เช่นภาษีเฉพาะธุรกิจการโอนการจำนอง ถ้าเกิดรัฐขยายทั้ง 2 ตัว หมายความว่าหากลดหย่อนได้ภาษีธุรกิจลดหย่อนได้จนถึงสิ้นปี ปีหน้าก็ยังเป็นปีที่น่าสนใจ แต่จะไม่คึกเหมือนปีนี้ เพราะปีหน้านอกเหนือจากมาตรการที่พูดแล้ว ก็ยังมีเรื่องของส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าช้าหรือเร็ว กับส่วนต่อขยายรถไฟใต้ดิน เพราะปีนี้เราจะเห็นชัดว่าปีหน้าเราจะเห็นสายสีม่วงกับสีน้ำเงิน 2 สายแล้วแต่ที่เหลือมันจะมีอะไร เช่น เจรจาหรือเริ่มลงนามสัญญาต่อเนื่องได้เลยหรือไม่ อันนี้จะเป็นตัวเดินหน้าสำหรับวงการอสังหาฯปีหน้าด้วย

          โดยสรุปแล้วการลงทุนในปีหน้าที่ยังน่าสนใจยังเป็นเรื่องของ ตลาดหลักทรัพย์ ทองคำ ทั้งในทองคำแท่ง และตลาดโกลด์ฟิวส์เจอร์ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ ในส่วนของที่ดินและคอนโดมิเนียม แต่การจะตัดสินใจลงทุนอะไร อยู่ที่ความเหมาะสมของนักลงทุนแต่ละประเภทว่ามีความถนัดทางด้านใด





ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
กูรูฟันธง...สินทรัพย์รับปีเสือ อัปเดตล่าสุด 1 มกราคม 2553 เวลา 14:25:40 5,266 อ่าน
TOP