x close

12 มิถุนายน ลือเกิดภัยพิบัติ นักวิทย์ยันไม่จริง



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          นักวิทย์ชี้ ข่าวลือ 8 มิถุนายน 2553 ดาวเคราะห์เรียงตัวแนวเดียวกัน-แกนโลกเอียง-ขั้วแม่เหล็กโลกเปลี่ยนทิศ ส่งผล 12 มิถุนายน เกิดแผ่นดินไหวทั่วโลกเหมือนในหนัง 2012 ไม่เกิดขึ้นจริง ยันไม่มีหลักฐานพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์

          นายสธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีข่าวลือภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นในวันที่ 8-12 มิถุนายน 2553 เนื่องจากมีการกล่าวอ้างว่าจะเกิดปรากฏการณ์ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาลเรียงตัวเป็นแนวเดียวกันในวันที่ 8 มิถุนายน จนทำให้เกิดปฏิกิริยาจากดวงอาทิตย์ ประกอบกับแกนโลกเอียงตัว อันจะส่งผลต่อโลกในวันที่ 12 มิถุนายน ทำให้เกิดแผ่นดินไหว และเกิดการเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กของโลก

          ทั้งนี้ อาจารย์สธน ระบุว่า ปรากฎการณ์แผ่นดินไหวทั่วโลกในวันที่ 12 มิถุนายน คงไม่เกิดขึ้นแน่ เพราะไม่มีหลักฐานพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ และเรื่องการสลับขั้วแม่เหล็กของโลกนั้น ไม่ใช่เป็นการพลิกกลับของโลก หรือเปลี่ยนขั้วโลก แต่เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีต แต่ละครั้งใช้เวลาเป็นพันถึงแสนปี จะมีผลแค่เพียงสนามแม่เหล็กของโลกจะอ่อนลงบ้างเท่านั้น ส่วนเรื่องการเรียงตัวของดาวเคราะห์ ยืนยันว่าไม่มีอิทธิพลต่อแรงดึงดูดมากไปกว่าปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง 

          ขณะที่ นายบัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิชาการจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ผู้ที่ออกมาให้ข้อมูลภัยพิบัติโลกในเดือนมิถุนายน 2553 น่าจะมีเจตนาดีในการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนตื่นตัว เตรียมพร้อมรับภัยพิบัติ แต่ในการให้ข้อมูลอะไรก็ตาม ควรมีเอกสารวิชาการที่อ้างอิงได้ เพราะนั่นอาจทำให้ผู้คนตื่นกลัวได้

          อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ มีการพูดถึงจุดจบของโลกคล้ายกับปรากฎการณ์ดังกล่าว จากคำบอกเล่าของ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานมูลนิธิเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ที่ระบุว่า จุดจบของโลกใกล้เข้ามาทุกที หลังองค์การนาซ่าค้นพบระบบสุริยะจักรวาลอื่นที่เหมือนกับระบบสุริยะของโลกเราอีกกว่า 20 ระบบ อยู่ใกล้เคียงกัน และพบจุดดำ หรือแบล็กโฮลในดวงอาทิตย์ ซึ่งหากมีการส่งรังสีออกมาจากแบล็กโฮลของดวงอาทิตย์ทั้ง 20 ดวงพร้อมกัน ในเวลาใกล้เคียงกันก็จะส่งผลกระทบต่อโลก ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนรุนแรง โดยความร้อนจากของเหลวภายในโลกจะดันเปลือกโลกขึ้นมา เหมือนในภาพยนตร์เรื่อง 2012 สอดคล้องกับความเชื่อของชนเผ่ามายัน

          "ผิวของดวงอาทิตย์ถ้ามีการระเบิดออกมา เรียกว่า ลมสุริยะ รังสีนี้จะมากระทบกับผิวโลก บางครั้งจะทำให้ระบบการเสื่อสารหายไปเลย แต่ถ้ารุนแรงกว่านั้น มันจะทำให้ผิวโลกเคลื่อนตัว นี่เป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ แล้วคือไม่ได้มีระบบสุริยะอันเดียว มันมีหลายอัน ถ้าถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน ก็จะส่งผลต่อโลกเราอย่างรุนแรงมาก จะทำให้โลกวินาศ เกิดภัยพิบัติอย่างรุนแรง" ดร.สมิทธ กล่าว

          ประธานมูลนิธิเตือนภัยพิบัติฯ กล่าวต่อว่า ได้ข้อมูลจุดจบของโลกมาจาก ดร.ก้องภพ อยู่เย็น นักวิทยาศาสตร์ชาวไทยที่ได้รับเลือกให้ไปร่วมงานกับองค์การนาซ่านานกว่า 6 ปี แม้ว่าข้อมูลนี้จะยังถูกเก็บเป็นความลับ แต่เมื่อนำมาวิเคราะห์แล้ว พบว่ามีความเป็นไปได้ แต่จุดจบของโลกอาจไม่ใช่ปี 2012 อาจจะช้ากว่านั้นสัก 2-3 ปี 

          "ทุกคนคงไม่ตายหมด แต่ก็คงไม่รอดหมด กลุ่มคนที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมาก ๆ คงรอด แต่ประเทศไทยบริเวณเส้นศูนย์สูตรคงไปหมด ถ้าเปลือกโลกขยับปรับตัวใหม่ หาจุดสมดุลใหม่ ขั้วโลกก็จะปลี่ยนไป อย่างเช่น กรณีเจอช้างแมมมอธที่ขั้วโลก ก็เกิดจากระบบขั้วโลกเปลี่ยนกะทันหัน จะเห็นได้ว่าช้างที่ขุดขึ้นมาได้ ยังเคี้ยวหญ้าอยู่ในปาก หญ้าก็ยังเป็นหญ้าสด แสดงว่ามันตายโดยไม่รู้ตัว ถูกแช่แข็งอย่างกระทันหัน และจากการพิสูจน์พบว่าตายมาแล้วกว่า 40,000 ปี อีกทั้งการที่ตรงนั้นมีหญ้า ก็แสดงว่าพื้นที่นั้นอาจไม่ใช่ขั้วโลกมาก่อน อาจจะเป็นเส้นศูนย์สูตรมาก่อนก็ได้"

          ทั้งนี้ ดร.สมิทธ กล่าวว่า คงต้องคอยสังเกตกันต่อไปว่า หลังจากนี้มีเหตุแผ่นดินไหวบ่อยครั้งหรือไม่ ถ้าเกิดรุนแรง หรือเกิดบ่อยครั้งทั่วโลก นั่นหมายความว่าทฤษฎีนี้น่าเชื่อถือ แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าทฤษฎีนี้ไม่ถูกต้อง

          ถึงแม้ทฤษฎีของ ดร.สมิทธ จะไม่ใช่การกล่าวเตือนภัยพิบัติในเดือน มิ.ย. แต่ประเด็นจุดจบของโลกที่ใกล้จะมาถึงนั้น ก็ยังไม่มีหลักฐานข้อมูลยืนยันแน่ชัดเช่นกัน อย่างไรเสีย คงต้องใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร และติดตามการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของโลกใบนี้กันต่อไป




อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
 

 

 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
12 มิถุนายน ลือเกิดภัยพิบัติ นักวิทย์ยันไม่จริง อัปเดตล่าสุด 11 มิถุนายน 2553 เวลา 14:45:30 111,123 อ่าน
TOP