จุติ ไกรฤกษ์
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก วิกิพีเดีย
แม้ว่าจะเป็นข่าวดีของ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีใหม่ถอดด้ามใน ครม.อภิสิทธิ์ 5 แต่ดูท่าว่า นายจุติยังต้องมีเรื่องให้ลุ้นระทึกต่อว่า การดำรงตำแหน่ง รมว.ไอซีที นี้จะขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
นั่นเพราะก่อนหน้านี้ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ในฐานะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา ที่นักการเมืองต่างรู้จักวีรกรรมเด็ด ๆ ของเขาดี ได้เคยลงมือตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของรัฐมนตรี ตลอดจนคู่สมรสของรัฐมนตรีหลายคนว่า มีแนวโน้มเข้าข่ายซุกหุ้นหรือไม่ เนื่องจากมีข้อกำหนดไว้ว่า ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีห้ามถือครองหุ้นเกิน 5% โดยครั้งนี้นายเรืองไกร ก็ได้ระบุว่า จะดำเนินการตรวจสอบรัฐมนตรีใหม่ทั้ง 8 คน รวมถึงรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งไปแล้วเช่นกัน โดยจะได้รวบรวมข้อมูลและส่งเรื่องไปยัง กกต. เพื่อพิจารณาต่อไป
อย่างไรก็ตาม นายจุติ รมว.ไอซีที ดูท่าจะเป็นคนที่สุ่มเสียงกว่าใครเพื่อน เนื่องจากก่อนหน้านี้ นายจุติ เป็น 1 ใน 13 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดว่า อาจกระทำการเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ และต้องพ้นสภาพ ส.ส. ด้วยเหตุผลที่ว่า คู่สมรสของนายจุติ คือ นางสมานจิตต์ ไกรฤกษ์ ได้ถือหุ้นในบริษัทสื่อและบริษัทที่เป็นคู่สัญญา สัมปทานรัฐ โดยเรื่องกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
โดยนายเรืองไกร กล่าวว่า เรื่องที่อยู่ในชั้นศาล เป็นกรณีที่นายจุติ ดำรงสถานะ ส.ส. ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มีความผิดจริง สถานะความเป็น ส.ส.ก็จะหมดไป ตามมาตรา 48 ประกอบมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งก็ต้องมีการจัดการเลือกตั้งหา ส.ส.ขึ้นมาแทน แต่ในส่วนของการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น ต้องพิจารณาว่า วันที่นายจุติรับตำแหน่งรัฐมนตรี คือวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2553 ภรรยาของนายจุติจำหน่ายหุ้นที่ถือครองไปหรือยัง เพราะอาจจะมีการจำหน่ายหุ้นออกไปแล้ว แต่หากยังก็เป็นสิ่งที่ขัดต่อกฎหมาย และกระเทือนต่อตำแหน่งรัฐมนตรีแน่นอน ดังนั้นต้องดูบัญชีทรัพย์ขณะที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.อีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่นายจุติ ไกรฤกษ์ ได้ออกมาชี้แจงว่า ได้โอนหุ้นที่ถือครองอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งคดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และจะมีการนัดไต่สวนในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ ซึ่งหากศาลชี้ขาดว่ามีความผิดจริง ก็ต้องพ้นสภาพความเป็น ส.ส. และมีการเลือกตั้งใหม่ แต่จะกระทบต่อตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นเรื่องของคุณสมบัติ ไม่ใช่การทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งตนก็พร้อมจะลาออก หากเห็นว่าตนมีคดีติดตัว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก