จากใจ...พ่อเดินดิน (ไทยโพสต์)
"พ่อ" ผู้ที่ส่วนมากแล้วต้องรับหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวออกไปทำมาหากิน หาเงินกลับมาเลี้ยงครอบครัวดังเช่นช้างเท้าหน้า ที่เป็นกำลังหลักของครอบครัว ซึ่งบางครั้งการที่ต้องออกไปทำงานอย่างหนัก หามรุ่งหามค่ำในยุคที่เงินทองหายากเช่นนี้ อาจจะกลายไปเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดช่องว่างของความสนิท ระหว่างพ่อกับลูกไปในที่สุด
เมื่อได้ตระเวนพูดคุยกับคุณพ่อวัยทำงานในแต่ละหลากสาขาอาชีพ ก็พบว่า "คุณพ่อยุคใหม่" ล้วนมีเทคนิค วิธี หรือเครื่องมือในการเลี้ยงดูลูกที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้หวังให้ลูกเติบใหญ่อย่างเดียว แต่ในใจลึกๆ ของพ่อยังหวังยึดเหนี่ยวความสัมพันธ์ ความสนิทระหว่างพ่อกับลูกให้สนิทแนบแน่น และให้ลูกมีวิถีชีวิตที่เป็นไปตามความคาดหวังของ "พ่อ" ด้วย
อ.ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการประกอบอาหารชื่อดังของเมืองไทย ในฐานะคุณพ่อลูก 2 เผยว่า สำหรับลูกๆ ทั้ง 2 คนแล้วจะพยายามทำให้เหมือนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของลูก ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว เวลาลูกมีปัญหาอะไร เขาก็จะกล้าพูดกับเราที่เป็นพ่อแม่ เนื่องจากไม่มีใครคอยรับฟัง ชี้แนะ รักและจริงใจกับลูกๆ มากกว่าพ่อแม่อีกแล้ว แม้บางครั้งคนเป็นพ่อจะอาจไม่ได้แสดงออกกับตรงนี้มากนัก แต่ถ้ามีเวลาว่างก็จะเข้าหาลูกตลอด ไม่เจอตัวก็โทร. ส่งอีเมล์ผ่านเครื่องมือหลากหลายชนิดที่ทำให้เราได้ใกล้ชิดกันได้
"สำหรับอาจารย์แล้ว แม้พ่อจะอายุ 60 และลูกจะโตจนอายุ 20 แล้ว แต่ถ้าลูกมายืนอยู่ตรงหน้าไม่ว่าจะเราหรือเขาจะอายุเท่าไหร่ เชื่อได้เลยว่าคนเป็นพ่อทุกคน ต่างก็อยากจะไปใกล้ชิดกับลูกหรืออยากจะกอดลูกแทบทั้งนั้น เพราะความรู้สึกเหล่านี้มันคือความผูกพัน การที่เราได้ดู ได้เห็น ได้เลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กๆ ดั่งคำที่ว่า "รักปานจะแหกตูดดม" ที่อาจฟังดูแล้วตลก แต่เชื่อได้เลยว่าสิ่งเหล่านี้คือเรื่องจริง"
อ.ยิ่งศักดิ์บอกด้วยว่า การเลี้ยงลูกจึงหวังแต่ให้ทำสิ่งดีๆ ให้ลูก ทุ่มให้เต็มร้อย ไม่ให้พวกเขาคิดว่าเราเป็นพ่อที่บกพร่อง ซึ่งแม้ความคาดหวังที่มีต่อพวกเขาจะไม่ได้บังคับว่าอยากจะให้ทำอะไร หรือจะมาทำงานเหมือนเรา ต่อจากเรา สิ่งเหล่านี้เราบังคับเขาไม่ได้ ในตรงนี้เมื่อเรียนจบ ส่วนตัวจึงได้ให้ลูกๆ มาทำงานด้วยกันก่อน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อว่าจะให้เขาได้สามารถค้นพบตัวเองตั้งแต่แรกเริ่ม ว่าเขาชอบงานที่เราทำอยู่เช่นเดียวกับเราหรือไม่ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง"
นายธวัชชัย พันธุ์ภักดี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท พระนครฟิลม์ คุณพ่อลูกโทน กล่าวว่า แม้การที่ทำงานหนักจะทำให้มีเวลาอยู่ด้วยกันกับลูกน้อยลง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เกิดเป็นช่องว่างของกันและกัน เพราะตรงนี้ลูกเองก็เข้าใจได้ถึงเวลางานที่ทำอยู่ อีกทั้งตอนนี้เขาอาศัยอยู่ที่หอพักใกล้กับสถานศึกษาที่เขาเรียนอยู่ แต่ก็ยังได้โทรศัพท์พูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา โดยการที่ปล่อยให้เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ที่หอพักจึงถือเป็นการให้เขาได้มีประสบการณ์ และเป็นการฝึกให้เขาสามารถดูแลตัวเองได้
"ความคาดหวังของผมต่อลูก อยากให้เพียงแต่ให้เขาเป็นคนดีเท่านั้น อยากให้เขามีอิสระในความคิด ได้ใช้ชีวิตตามต้องการ ได้ทำอะไรก็ตามที่อยากทำ ดูและตัวเองได้เท่านั้นพอ"
นายสุพัฒน์ งามวงศ์ไพบูลย์ อาชีพ ผอ.ฝ่ายการตลาด เอส เอฟ ซีเนม่า ซิตี้ คุณพ่อลูก 2 บอกเล่าความรู้สึกว่า กับลูกๆ แล้ว แม้ตัวเองจะต้องใช้เวลาส่วนมากในรอบสัปดาห์ไปกับการทำงาน จึงทำให้หน้าที่ดูแลพูดคุยอย่างใกล้ชิดจะตกอยู่ที่แม่มากกว่า แต่ถ้ามีเวลาว่างในวันเสาร์-อาทิตย์ ก็จะพยายามใช้เวลาว่างในช่วงนี้อยู่กับครอบครัวให้ได้มากที่สุด และหมั่นสร้างกิจกรรมร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการไปเที่ยว ไปดูหนัง หรือไปทานข้าวร่วมกัน รวมทั้งเพื่อจะไม่ให้เกิดช่องว่างระยะห่างของเราและเขา ก็จะดูว่าเขาชอบอะไร อย่างตอนนี้ที่ลูกชอบเพลงเกาหลี ก็จะไปฟังเพลงเกาหลีเช่นเดียวกับลูก เพื่อที่จะสามารถคุยกันด้วยภาษาเดียวกันได้อย่างไม่ฝืน
"แม้ผมเป็นพ่อที่ไม่ใช่ยอดคุณพ่อ แต่ผมก็พยายามจะเป็นเพื่อน เป็นที่ปรึกษาที่ดี พยายามคุยภาษาเดียวกันให้ได้ ดูว่าลูกชอบอะไร คิดอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดเป็นระยะห่างหรือช่องว่างระหว่างกัน โดยผมคิดว่าในตอนนี้ช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ที่มีอยู่ก็สามารถช่วยเราได้มาก ทั้งโทรศัพท์ เอ็มเอสเอ็น หรือแม้กระทั่งบีบี ที่จะมาช่วยให้เราใกล้กันได้"
นายสุพัฒน์ยังบอกด้วยว่า ความคาดหวังที่มีต่อลูกๆ ในตอนนี้เพียงแค่อยากให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่ดี อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี คิดดี ทำดี และเป็นคนที่คิดเป็น ซึ่งส่วนการจะให้ลูกมาสานต่องานที่ทำต่อหรือไม่ ตรงนี้ขอให้เป็นความต้องการของพวกเขาเอง เพราะไม่ว่าเขาจะอยากเป็นอะไรก็รับได้ ขอเพียงแต่ให้เขาเป็นคนดีเท่านั้นพอ
นายปิ่นแก้ว มิสา อาชีพพนักงานรักษาความปลอดภัย คุณพ่อลูก 3 เล่าว่า ลูกๆ ทั้ง 3 คนไม่ว่าจะเป็นลูกคนโตหรือคนเล็ก ต่างก็เลี้ยงดูพวกเขาอย่างทุ่มเท อยู่ด้วยกันทุกวัน ให้กินอาหารดีๆ ให้ได้รับรู้ในสิ่งดีๆ เพื่ออยากให้พวกเขาเติบโตมาเป็นคนดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความกตัญญู การตอบแทนบุญคุณผู้ให้กำเนิด
"มีอยู่ครั้งหนึ่งผมลองพาพวกลูกๆ มาดูการทำงานของผม เพื่อให้ได้ทราบถึงความยากลำบากของพ่อและแม่ ในการหาเงินมาดูแลเลี้ยงดูลูกๆ ทุกคนให้อยู่ดีมีสุขมาโดยตลอด" คุณพ่อรายนี้เล่า
อย่างไรก็ตาม แม้การเลี้ยงดูพวกเขาทั้ง 3 คนจะไม่มีปัญหาอะไรที่ใหญ่โตให้ต้องหนักอกหนักใจมากนัก เพราะเมื่อลูกๆ เขามีปัญหาอะไร เขาก็จะมาพูดคุยปรึกษาตลอด และในบางครั้งหากเขาทำผิดก็จะว่าไปทำผิด แต่เมื่อทำผิดแล้วจะเน้นย้ำมากที่สุดก็คือความซื่อสัตย์ หากทำผิดแล้วก็ต้องกล้าที่จะยอมรับผิด
"ความคาดหวังต่อลูกในตอนนี้ แม้จะต่างกันบ้างตามแต่ละช่วงวัย อย่างลูกคนโตที่ไม่คาดหวังอะไรไว้มากมาย เพราะเขาทำงานเอง มีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว ส่วนลูกอีกสองคนที่ยังอยู่ในวัยเรียน ก็อยากให้เขาได้เรียนหนังสือสูงๆ อยู่ในสังคมดีๆ มีอนาคตที่ดี เชื่อฟังพ่อแม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือความรัก ความทุ่มเทที่มีต่อพวกเขาเท่าๆ กัน"
นายคำพูล เข็มทอง อาชีพขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างย่านนานา สุขุมวิท คุณพ่อลูก 4 บอกว่า การที่ต้องเหน็ดเหนื่อยทำงานอย่างหนัก หาเช้ากินค่ำ วิ่งวินมอเตอร์ไซค์ตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึงเที่ยงคืนทุกวัน ทำให้บางครั้งรู้สึกเป็นห่วงและรู้สึกว่าต้องห่างเหินกับลูก ๆ อยู่บ้าง อีกทั้งลูก ๆ อีก 2 คนก็ต้องฝากไว้ให้ญาติเลี้ยงอยู่ที่ต่างจังหวัด ซึ่งตรงนี้เมื่อมีเวลาว่างเมื่อไร ก็จะใช้เวลาในช่วงนั้นหมั่นโทรศัพท์ไปหา ไปพูดคุยกับลูกๆ ทุกคนอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เกิดเป็นช่องว่างขึ้นระหว่างเรากับลูกๆ แต่ถึงอย่างไรลูกๆ ก็ยังสนิทกันดี
"การเลี้ยงดูลูก ๆ ในตอนนี้อยากจะทุ่มเท พยายามทำเพื่อลูกให้มากที่สุด เพราะเพียงแค่ได้กลับบ้านเจอลูกๆ ที่ซน น่ารัก ช่างจ้อทุก ๆ วันก็ทำให้หายเหนื่อยได้เลย แต่ถึงอย่างไรการเลี้ยงดูพวกเขา ผมก็ไม่ได้ตั้งความคาดหวังไรมากมายนัก เพียงแค่ต้องการได้เห็นลูก ๆ ทุกคนเรียนหนังสือจบ เอาตัวรอดในสังคม มีการมีงานสุจริตทำก็เพียงพอแล้ว"
นายบุญเรือง นิลสระคู อาชีพขายผลไม้รถเข็น คุณพ่อลูก 1 เล่าว่า สำหรับตัวเขากับลูกแล้ว ถือว่ามีความสนิทสนมกันมาก แม้จะต้องออกมาทำงานเช้าจรดมืดในทุก ๆ วัน แต่หากถ้าได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเมื่อใดก็จะเล่น หยอกล้อกันตลอดทุกครั้ง ลูกจะได้รู้สึกกับเราเหมือนเพื่อน และจะไม่รู้สึกเครียดหรือกดดัน เวลาเขามีปัญหาจะได้มาปรึกษาพ่อได้ ตอนนี้จะเป็นห่วงลูกอยู่บ้างในเวลาหลังเลิกเรียน กลัวว่าจะไปติดเกมหรือติดเพื่อนมากเกินไป ก็จะพยายามคุยและสอนเขาเสมอ
"ถ้าหากจะถามว่าผมเป็นพ่อแบบไหน ผมก็คงเป็นเหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป เป็นพ่อที่เป็นพ่อธรรมดาๆ คนนึงที่พยายามเลี้ยงดูลูกอย่างดี ด้วยความรัก ความเข้าใจ และอยากจะให้เขารู้จักการเอาตัวรอดได้ในสังคมเท่านั้นก็พอ"
แต่ทั้งนี้ จากการฟังความเห็นของคุณพ่อในแต่ละสาขาอาชีพ ต่างแทบจะพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่า หัวอกคนเป็นพ่อนั้นก็ต่างต้องการเห็นลูกของตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ ในงานที่สุจริต รู้จักการเอาตัวรอดในสังคม และเติบโตขึ้นมาเป็นคนดี