กกท.เสนอ15ข้อป้องกันแฟนบอลตีกัน (ไอเอ็นเอ็น)
นายพีระ ฟองดาวิรัตน์ รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ฝ่ายกีฬาอาชีพและสิทธิประโยชน์ เปิดเผยถึงการเข้าชี้แจงและแสดงความคิดเห็นแนวทางและมาตรการป้องกันรักษาความปลอดภัยในการจัดการแข่งขันฟุตบอลในประเทศ 15 ข้อ ต่อคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวและกีฬา สภาผู้แทนราษฎร์ เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2554 ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ อาคารรัฐสภา 3 นั้น
นายกนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าฯ กกท. ได้มอบหมายให้ตนเข้าร่วมประชุมและนำเสนอแนวทางและมาตรการป้องกันรักษาความปลอดภัยในการจัดการแข่งขันฟุตบอลในประเทศ 15 แนวทาง ได้แก่
1. พัฒนารูปแบบและค่านิยมในการร่วมชม เชียร์กีฬาในประเทศ และวัฒนธรรมการเชียร์ที่มีความเป็นสากล
2. นักกีฬา บุคลากรกีฬาทำหน้าที่อย่างมืออาชีพ มีรายได้ที่มั่นคงแน่นอน ระบบสัญญามีความยุติธรรมและเป็นสากล
3. มีระบบการบริหารจัดการความเสี่ยงกีฬาที่มีมาตรฐาน และมีการตรวจสอบก่อนการแข่งขันอย่างเป็นระบบ
4. มีกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมายในด้านกีฬาอาชีพ และมีองค์กรที่สามารถควบคุมกำกับให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีมาตรฐานทิศทางเดียวกัน
5. มีการดำเนินการทางกฎหมาย หรือกิจกรรมกีฬาอย่างมืออาชีพ เช่นการล้มบอล การตรวจสอบสารกระตุ้น เป็นต้น
6. กฎระเบียบการแข่งขันกำหนดไว้อย่างยุติธรรม มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันกับเกมที่เปลี่ยนแปลงไป
7. สร้างปริมาณและคุณภาพบุคลากรกีฬาทั้งระบบ และทั้งประเทศให้มีมากพอที่จะเป็นสังคมกีฬาอาชีพ
8. มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยได้มาตรฐาน ผู้ใช้บริการเข้าถึงสะดวก
9. มีการรวมตัวกันของบุคลากรทางการกีฬาที่มีความเป็นธรรมาภิบาล มาตรฐาน เพื่อการรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของสมาชิกและความเป็นสากลในการปฏิบัติงาน เช่น สมาพันธ์ผู้ตัดสิน สมาพันธ์ผู้ฝึกสอน เป็นต้น
10. องค์กรภาครัฐ ให้การสนับสนุนในเบื้องต้น โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการสนับสนุนจากองค์กรของรัฐในท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง หรือเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการองค์กรกีฬา
11. มีการบริหารจัดการสนามให้เกิดมูลค่าสูงสุดและมีความสมบูรณ์ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้มาตรฐาน
12. มีระบบการบริหารจัดการองค์กรที่มีประสิทธิภาพชัดเจนด้วยทีมงานมืออาชีพ
13. ระบบการบริหารจัดการแข่งขันได้มาตรฐานของกีฬาระดับสากลและมาตรฐานของ กกท.
14. องค์กรกีฬาอาชีพ ทั้งสมาคม สโมสร มีระบบการบริหารบุคคลที่มีประสิทธิภาพ มีการสรรหา แต่งตั้งประเมินผลงาน
15. มียุทธศาสตร์การพัฒนากีฬาในระยะสั้น-ยาว ทั้งในภาพรวมของกีฬาอาชีพ โดยมีการควบคุม กำกับ ติดตามและประเมินผลอย่างเป็นระบบ
ทั้งนี้ จะมีการนำเรื่องดังกล่าวหารือในคณะอนุกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 2 ในการประชุมปลายเดือนมกราคม 2554 นี้ ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณากำหนดเป็นกฎหมายออกมาบังคับใช้ต่อไป ซึ่งจะใคร่ขอความอนุเคราะห์ในการเร่งรัดการพิจารณา พ.ร.บ.กีฬาอาชีพ ดังกล่าว และหาก พ.ร.บ.กีฬาอาชีพฉบับนี้มีผลบังคับใช้ก็จะสามารถดำเนินการตัดสินกับคนกระทำผิดได้เลยโดยไม่ต้องไปอิงกับกฎหมายอาญา หรือแพ่งแต่อย่างใด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
