เพิ่มเป้า2หมื่น ล. สนองงบกลาง54 รีดภาษีโอ๊ค-เอม (ไทยโพสต์)
สรรพากรเล็งเพิ่มเป้ารายได้อีก 2 หมื่นล้านบาท รองรับงบกลางปี 2554 พร้อมศึกษาความเป็นไปได้ปรับโครงสร้างภาษี แย้มลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 25% มีความเป็นไปได้สูงสุด เล็งอุทธรณ์เก็บภาษี "โอ๊ค-เอม" 1.2 หมื่นล้านโปะรายได้รัฐ
นายอนันต์ สิริแสงทักษิณ รองอธิบดีกรมสรรพากร เผยเมื่อวันจันทร์ว่า กรมสรรพากรอาจต้องมีการปรับเพิ่มเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ขึ้นอีก 2 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 1% ของเป้าหมายเดิมในปี 2554 ที่เดิมตั้งไว้ที่ 1.299 ล้านล้านบาท ภายหลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายจัดทำงบประมาณกลางปี 2554 เนื่องจากรัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าถึง 1.2 แสนล้านบาท
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างภาษี เพื่อเตรียมตัวรองรับการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี 2558 ซึ่งเบื้องต้นการปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้จะต้องสอดคล้อง และเหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านด้วย โดยเฉพาะในส่วนของการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงจากเดิมที่ 30% โดยอาจจะปรับลงมาอยู่ที่ 25% ซึ่งคิดว่าน่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด
นอกจากนี้ ยังต้องปรับโครงสร้างภาษีให้มีความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบรวมกิจการด้วย ส่วนหนึ่งเพื่อให้เกิดการสนับสนุนการลงทุนให้มากขึ้น ซึ่งในส่วนของกรมสรรพากรเอง ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ ด้านภาษี เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการลงทุนมากขึ้น แต่การแก้ไขดังกล่าวก็จะต้องไม่ไปกระทบกับการจัดเก็บรายได้โดยรวมของกรมด้วย
"การปรับโครงสร้างภาษี โดยเฉพาะในส่วนของการพิจารณาปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงนั้น คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2555 ส่วนในปีนี้กรมสรรพากรก็จะเร่งปรับแก้ไขเกี่ยวกับกรอบอัตราภาษีต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้มีความสำคัญหรือไม่มีความจำเป็นมากนักก่อน ส่วนเรื่องแนวทางปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นเป็นเรื่องสำคัญ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการพิจารณาอย่างละเอียด" นายอนันต์ กล่าว
นอกจากนี้ กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการหารือด้านข้อกฎหมายกับผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่กฎหมายของกรมสรรพากร เพื่อยื่นอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกา ภายหลังจากที่ศาลภาษีอากรกลางได้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเรียกเก็บภาษี 1.2 หมื่นล้านบาทของนายพานทองแท้ และ น.ส. พินทองทา ชินวัตร โดยในส่วนดังกล่าวกรมสรรพากรจำเป็นต้องยื่นอุทธรณ์ไปตามหน้าที่ แต่เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะศาลคงจะมีการพิจารณาไปตามข้อเท็จจริง
โดยในส่วนของกรมสรรพากรเองยืนยันว่า นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร จะต้องเสียภาษีรวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท จากการขายหุ้นในเครือชินคอร์ปให้กลุ่มเทมาเส็กของสิงคโปร์เมื่อต้นปี 2549
ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.การคลัง กล่าวว่า คลังจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีในที่ประชุมวันนี้ เห็นชอบการตั้งงบประมาณกลางปี 2554 เพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้เงินคงคลัง และไปฟื้นฟูประเทศที่ได้รับความเสียจากพิบัติภัยธรรมชาติที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้เสนอให้นายกรณ์ตั้งงบกลางปีประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ตามประมาณการรายได้สุทธิที่คาดว่าจะเก็บได้เกินเป้าเดิมที่ตั้งไว้ โดยจะนำงบไปใช้เป็นเงินคงคลัง 8.5 หมื่นล้านบาท และส่วนที่เหลือประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท จะนำไปใส่ไว้ในงบกลางที่มีการนำไปช่วยเหลือน้ำท่วมที่ผ่านมาจำนวนมาก ทำให้งบกลางของปี 2554 เหลือเพียงครึ่งเดียว
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า เงินคงคลัง 8.4 หมื่นล้านบาท ที่นำไปใช้จ่ายต้นปีงบประมาณ 2554 และรัฐบาลจะตั้งงบกลางปีมาใช้คืน เป็นการใช้ไปในเรื่องไถ่ถอนตั๋วเงินคงคลังก่อนกำหนด 4.47 หมื่นล้านบาท ค่าใช้จ่ายงบบุคลากร 4.8 พันล้าน ค่ารักษาพยาบาลราชการ 1.3 หมื่นล้านบาท เบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญข้าราชการ 1.7 หมื่นล้านบาท เงินช่วยเหลือข้าราชการ ลูกจ้าง 258 ล้านบาท เงินสมทบชดเชยข้าราชการ 3.07 พันล้านบาท และเงินสมทบลูกจ้างประจำ 7.8 ล้านบาท
ด้านนายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า สบน.คาดว่าภายในไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ หรือประมาณสิ้นเดือน มี.ค.54 เงินคงคลังจะลดมาอยู่ที่ระดับ 1 แสนล้านบาท จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ สบน.ปรับแผนบริหารหนี้ไม่กู้เงินระยะสั้นเข้ามาเพิ่ม เพื่อให้เงินคงคลังลดลงอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินความจำเป็น ทำให้ประหยัดเงินดอกเบี้ยได้ถึง 3-4 พันล้านบาท
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
