กัดดาฟี ท้ารบนานาชาติ สั่งเครื่องบินทิ้งบึ้มม็อบ


มูอัมมาร์ กัดดาฟี

มูอัมมาร์ กัดดาฟี


ข่าวลิเบีย ประท้วงลิเบีย 



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก m24digital.com

          ผู้นำลิเบีย ท้ารบนานาชาติ หากเคลื่อนพลโจมตี ก็จะจัดการตอบโต้ และแสดงแสนยานุภาพให้กองทัพผู้รุกรานเห็นถึงความน่ากลัว ยกสงครามเวียดนามขู่สหรัฐอเมริกา ขณะที่ล่าสุดเครื่องบินรบทิ้งระเบิด 3 ลูกทางตะวันออกของประเทศ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมัน-ก๊าซธรรมชาติแล้ว

          หลังจากที่บรรดาชาติตะวันตก ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา และ อังกฤษ พร้อมด้วย ฝรั่งเศส เยอรมัน และ อิตาลี ต่างพร้อมใจกันส่งกองกำลังของตัวเอง รวมถึงกองกำลังขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) เข้าประชิดชายแดนลิเบีย เรียบร้อยแล้ว ทั้งทางเรือ และทางอากาศ

          ล่าสุด สื่อต่างประเทศ รายงานในวันนี้ว่า พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ประธานาธิบดีของลิเบีย ได้ออกมาประกาศต่อกลุ่มผู้สนับสนุนและสื่อต่างประเทศ ในกรุงตริโปลี ว่า พร้อมรบทำสงครามกับนานาชาติ ที่จะเข้ามารุกรานอย่างเต็มที่ และยกตัวอย่างว่า จะทำให้กองทัพนานาชาติรู้จัก และได้รับความเสียหายเหมือนกับการต่อสู้ในเวียดนาม ที่ทหารสหรัฐฯ พ่ายแพ้แบบย่อยยับมาแล้ว โดยระบุเบื้องต้นว่า มีอาวุธ และกระสุนจำนวนมาก ในการที่จะต่อสู้กับชาติตะวันตก ที่จะแทรกแซงสถานการณ์ภายในของลิเบีย

          นอกจากนี้ กัดดาฟี ระบุด้วยว่า จะยกกำลังเข้ายึดคืนพื้นที่ครึ่งประเทศ ทางฝั่งตะวันออกที่กลุ่มต่อต้านยึดครองไว้ และหากสหรัฐอเมริกา เคลื่อนกำลังทางเรือและอากาศ รวมทั้งกองกำลังนาโต เข้ามาใกล้ ก็กลายเป็นสงครามนองเลือด จะทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกหลายพัน พร้อมย้ำด้วยว่า ท่าเรือและแหล่งน้ำมันของลิเบีย ยังปลอดภัยดีภายใต้การควบคุมของรัฐบาล และจะเปิดประตูให้จีน รัสเซีย และบราซิล ดำเนินกิจการธนาคารแทนธนาคารตะวันตกในลิเบีย

          อย่างไรก็ตาม พันเอกกัดดาฟี เรียกร้องให้ประชาคมโลก หรือ สหประชาชาติ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนการเสียชีวิตของประชาชนนับพัน ที่มีข่าวว่าเสียชีวิตจากการลงมือของกองกำลังสนับสนุนรัฐบาล ทั้งยังตอบโต้มาตรการคว่ำบาตร ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่กำหนดกรอบการดำเนินการลงโทษ ผู้นำลิเบีย ทำให้สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และอีกหลายประเทศ อายัดทรัพย์สินของ พันเอกกัดดาฟี และครอบครัว รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล โดยกล่าวว่า ต่างประเทศไม่มีสิทธิ์ยึดทรัพย์สินดังกล่าว

          ในขณะที่กลุ่มผู้ประท้วง และผู้นำฝ่ายค้านของลิเบีย ซึ่งยึดฐานที่มั่นในเมืองเบงกาซี ได้มีโอกาสเจรจากับประธานาธิบดี บารัก โอบามา ของสหรัฐอเมริกา เรียกร้องให้นานาชาติ โจมตีฐานที่มั่นของกองกำลัง ที่สนับสนุนกัดดาฟีอยู่

          ทั้งนี้ รายงานระบุว่า กองทัพนานาชาติ ยังทำได้แค่เคลื่อนกำลังเข้ากดดัน ในย่านใกล้เคียงเท่านั้น ยังไม่มีการเปิดโจมตี เพราะว่า สหรัฐอเมริกา และ นานาชาติ ไม่ได้รับความเห็นชอบแบบเบ็ดเสร็จ จากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพราะจีน และ รัสเซีย ยังคงสงวนสิทธิ์ ในเรื่องดังกล่าว รวมถึงยังถูกมองว่า การรุกรานเข้าไปของชาติตะวันตกนั้น หวังเพียงผลประโยชน์ ด้านน้ำมันเพียงอย่างเดียว

          อย่างไรก็ตาม หลังจากกัดดาฟีประกาศพร้อมรบไม่นาน วันนี้ (3 มีนาคม) สำนักข่าว CNN รายงานว่า ลิเบียได้ส่งเครื่องบินรบทหารเข้าทิ้งระเบิด 3 ลูกใกล้กับเมืองอัลเบร์ก้า ในพื้นที่ทางตะวันออกของประเทศ ซึ่งเป็นแหล่งขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่สำคัญของประเทศ โดยหวังจะยึดพื้นที่คืนจากฝ่ายต่อต้าน

          ทั้งนี้ ประชาชนในเมืองอัลเบร์ก้า อ้างว่า กลุ่มต่อต้านกัดดาฟียังควบคุมเมืองนี้ไว้ได้อยู่ และขับไล่กองกำลังฝ่ายรัฐบาลออกไปได้




คลิป Muammar Gaddafi ประกาศกร้าว ลงโทษผู้ประท้วง



คลิป Muammar Gaddafi แถลงการณ์


 

[21 กุมภาพันธ์ ] ลิเบีย เตือนยุติการประท้วง รัฐบาลยันไม่ลงจากตำแหน่ง 

          หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายจากการประท้วงโค่นล้มระบอบการปกครองในลิเบียได้เริ่มต้นขึ้น และกินเวลานานสัปดาห์แล้ว ล่าสุด สำนักข่าวบีบีซีและรอยเตอรส์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซาอีฟ อัล-อิสลาม กัดดาฟี บุตรชายของประธานาธิบดีมูอัมมาร์ กัดดาฟี ของลิเบีย ได้ออกมาแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์ เรียกร้องให้ชาวลิเบียยุติการชุมนุม ก่อนเหตุการณ์จะบานปลายเป็นสงครามกลางเมือง แต่ทว่าเหตุการณ์ความไม่สงบกลับยังคงรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนคำแถลงการณ์ของชาอีฟ จะไม่ได้ทำให้ผู้ชุมนุมยุติการประท้วงแต่อย่างใด

         
โดยเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ชาอีฟ อัล-อิสลาม กัดดาฟี ได้ออกมาแถลงการณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์เฉพาะกิจ ประณามผู้ชุมนุมที่ก่อเหตุการณ์ความไม่สงบ อันเนื่องมาจากความต้องการล้มล้างระบบการปกครองของบิดาของเขาที่มีมายาวนานกว่า 40 ปี และได้แถลงการณ์ว่า ตอนนี้ กลุ่มผู้ประท้วงได้ตกเป็นเครื่องมือยุยงของต่างชาติ ตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน จึงลุกฮือขึ้นมาปฏิวัติการระบอบการปกครอง ซึ่งถ้าหากประชาชนยังคงลุกฮือขึ้นมาก่อความจลาจลเช่นเดียวกับตูนีเซียและอียิปต์เช่นนี้ ก็อาจก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองที่มีการนองเลือดอย่างหนักก็เป็นได้ จึงขอให้ยุติการชุมนุมโดยเร็ว พร้อมกับประกาศก้องว่า ลิเบียไม่เหมือนตูนีเซียและอียิปต์ ที่มีการปลุกปั่นผ่านเครือข่ายเฟซบุ๊กจนประชาชนลุกฮือขึ้นมาปฏิวัติสำเร็จมาแล้ว แต่ในลิเบีย การปลุกปั่นดังกล่าวจะถูกขัดขวางและไม่ยอมให้การลุกฮือของประชาชนครั้งนี้สำเร็จลุล่วงเหมือนกับตูนีเซียและอียิปต์อย่างแน่นอน

         
ยิ่งไปกว่านั้น ชาอีฟ ยังได้กล่าวยอมรับว่า รัฐบาลและตำรวจได้ทำผิดพลาดในการปราบปรามผู้ประท้วงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจริง แต่สถิติผู้เสียชีวิตไม่ได้สูงถึง 233 คนอย่างที่สื่อมวลชนต่างประเทศระบุ จึงขอให้สื่อมวลชนหยุดรายงานยอดผู้เสียชีวิตเกินความเป็นจริง อันเป็นสิ่งที่จุดกระแสความรุนแรงต่อผู้ประท้วง ขณะเดียวกัน ชาอีฟ ก็ยังคงยืนยันว่า รัฐบาลจะไม่ยอมลงจากตำแหน่ง และจะขอต่อสู้อย่างถึงที่สุด พร้อมกับเสนอและให้คำมั่นสัญญาว่า รัฐบาลจะปฏิรูปการเมืองใหม่ โดยจะมอบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และกฎหมายที่เปิดกว้างขึ้น โดยเฉพาะด้านเสรีภาพของสื่อมวลชน

         
แต่แม้ว่า ชารีฟ จะออกมาแถลงการณ์ยอมรับข้อผิดพลาด และยื่นข้อเสนออย่างไร แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ประท้วงพึงพอใจเลยแม้แต่น้อย กลับกัน ยิ่งทำให้เหตุการณ์จลาจลทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก โดยระหว่างการแถลงการณ์ของชารีฟ ได้มีเสียงปืนดังขึ้นในเมืองหลายเมือง และมีผู้ประท้วงบุกเข้าไปในสถานีโทรทัศน์ 2 แห่ง แล้วบังคับให้ทางสถานีหยุดแพร่ภาพ หลังจากนั้นก็มีการจุดไฟเผาอาคารต่าง ๆ ของทางการในกรุงตริโปลี เช่น ศูนย์ประชุม สถานีตำรวจ เป็นต้น และยังคงมีการก่อจลาจลอย่างต่อเนื่องเป็นระลอก ๆ

          อย่างไรก็ดี แม้ว่าตามแถลงการณ์ของชารีฟจะระบุว่า สื่อมวลชนต่างประเทศรายงานสถิติผู้เสียชีวิตเกินความจริง แต่ Human Right Watch และ แหล่งข่าวในพื้นที่ได้ยืนยันว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงนี้ขึ้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวไปแล้วไม่ต่ำกว่า 233 คน ขณะที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ได้มีการดำเนินการอพยพประชาชนของตัวเองออกจากลิเบียไปอยู่ในที่ปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

         
นอกจากเหตุการณ์ความไม่สงบในลิเบียแล้ว ก่อนหน้านี้ ยังมีรายงานว่า ในประเทศเยเมน ประชาชนหลายพันคนได้ออกมาชุมนุมประท้วงเรียกร้องให้ล้มล้างระบอบการปกครอง และเรียกร้องให้ประธานาธิบดีอาลี อับดุลเลาะห์ ซาเละห์ ซึ่งดำรงตำแหน่งยาวนานกว่า 32 ปี ลาออกจากตำแหน่ง แต่ทว่า ประธานาธิบดีอาลี อับดุลเลาะห์ ซาเละห์ กลับประกาศชัดเจนว่าจะไม่ยอมลงจากตำแหน่ง เพราะการประท้วง แต่จะลงจากตำแหน่งต่อเมื่อพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเท่านั้น ซึ่งทำให้เกิดเหตุการณ์จลาจลทวีความรุนแรงขึ้น และมีผู้เสียชีวิตกว่า 12 คนแล้ว

          ขณะที่เมืองอัล-โฮไซมา ประเทศโมร็อกโก มีรายงานว่า มีเหตุจลาจลเกิดขึ้น ประชาชนหลายพันคนออกมาประท้วงเรียกร้องให้กษัตริย์มูฮัมเหม็ดที่ 6 คลายพระราชอำนาจบางส่วนลง และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองการปกครอง โดยกลุ่มผู้ประท้วงได้บุกเผาธนาคารและสถานที่ต่าง ๆ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 5 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 128 คน ซึ่ง 115 คนในจำนวนนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งสิ้น ส่วนที่กรุงราบัต และเมืองกาซาบลังกา ก็มีผู้ประท้วงหลายพันคนออกมาชุมนุมที่จตุรัสกลางเมืองเช่นกัน แต่ไม่มีรายงานว่า ผู้ประท้วงใช้ความรุนแรง หรือมีผู้เสียชีวิตแต่อย่างใด 

 

 


อ่ายรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
กัดดาฟี ท้ารบนานาชาติ สั่งเครื่องบินทิ้งบึ้มม็อบ อัปเดตล่าสุด 3 มีนาคม 2554 เวลา 17:37:27 43,998 อ่าน
TOP
x close