x close

สื่อเผย วังกัดดาฟี เตรียมพร้อมทำศึกนานแล้ว





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก zimbio.com, badische-zeitung.de, wordpress.com, รายการเรื่องเล่าเช้านี้


          สื่ออาหรับ แฉ พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี เตรียมพร้อมรับมือการโจมตีจาก นานาชาติมานานแล้ว สร้างวังของตัวเอง ให้มีความสามารถทนต่อการโจมตี ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่ผู้สนับสนุน พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี เริ่มเปิดฉากโจมตีทางอากาศใส่กลุ่มฝ่ายค้านอีกครั้ง

          สำนักข่าว อัลจาซีรา ของการ์ตา รายงานในวันนี้ว่า มีอดีตคนใกล้ชิดของ พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี เปิดเผยว่า พระราชวัง อัล บาเดีย ของผู้นำลิเบีย นั้น ได้ถูกสร้างมาอย่างสุดอลังการ ที่นอกเหนือจากมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ที่หรูหรา จากการสังเกตเห็นจากภายนอกแล้ว พระราชวังดังกล่าว ยังเป็นบังเกอร์ ชั้นที่ที่มีการสร้างขึ้นเพื่อการป้องกันการโจมตีจากอาวุธนิวเคลียร์ด้วย เพื่อรับมือการถูกโจมตีจากผู้รุกราน รวมถึงมีการเตรียมพร้อม ทั้งเสบียงอาหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์ อย่างครบครันด้วย

          นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งเครื่องกำเนิดพลังงานไฟฟ้า และแหล่งอากาศบริสุทธิ์ เพื่อยังชีพอยู่ใต้ดิน ในภาวะฉุกเฉินด้วย
         
          ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า กองกำลังของลิเบีย ส่งเครื่องบินรบโจมตีทางอากาศ ใส่เมืองอัจดาบิยา และนับเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ที่กลุ่มผู้สนับสนุนผู้นำลิเบีย ปฏิบัติการรุกไล่กลุ่มกบฎ

          อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต จากการโจมตีดังกล่าว ขณะที่กลุ่มอาสาสมัครหลายร้อยคนได้ออกมาป้องกันพื้นที่การต่อสู้ ที่อยู่ใกล้กับบรีกา เมืองท่าส่งออกน้ำมัน

          ขณะที่กองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ได้เคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปตามถนนแนวชายฝั่งออกจากหมู่บ้านอูไกยลา ห่างจากศูนย์บัญชาการหลักของกลุ่มกบฎ ในเมืองเบงกาซี ไปประมาณ 280 กิโลเมตร



[4 มีนาคม] เปิดโปงเบื้องหลังธุรกิจ - ครอบครัว กัดดาฟี

            วิกิลีกส์ แฉ! ลูกชายกัดดาฟี เคยแตกคอกันเรื่องการเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ โคคาโคล่า ในกรุงตริโปลี ขณะที่ยูเนสโกสั่งระงับความร่วมมือกับลิเบียแล้ว ด้านโอบามาจี้กัดดาฟีลงจากตำแหน่ง เพราะหมดความชอบธรรม

            วิกิลีกส์ เปิดเผยข้อมูลลับจากแหล่งข่าวทางการทูตในสหรัฐฯ ระบุถึง ความแตกแยกในครอบครัวของ พันเอก มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบียนั้น รุนแรงยิ่งกว่า ข้อมูลลับบ่งชี้ว่า ไม่นานมานี้บุตรชายสองคนของนายกัดดาฟี ได้แก่ นายโมฮาเหม็ด กัดดาฟี บุตรชายคนโต และ นายมุสตาสซิม กัดดาฟี บุตรชายคนที่ 4 เคยทะเลาะกันรุนแรง เพราะแย่งกันเป็นเจ้าของแฟรนไชส์น้ำอัดลมโคคาโคล่า ที่มีโรงงานอยู่ในกรุงตริโปลี ถึงขั้นที่ทั้งคู่เคยหยิบอาวุธออกมาสู้รบกัน

            วิกิลีกส์ ระบุว่า นักธุรกิจชาวอเมริกันคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางธุรกิจนี้ เปิดเผยกับนักการทูตอเมริกัน ในตริโปลี ว่าการสู้รบดวลปืน ห้ำหั่นกันทางธุรกิจระหว่างบุตรชายสองคน ของกัดดาฟี รุนแรงไม่ต่างจากในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด เรื่อง "เดอะ ก้อด ฟาเธอร์" และความขัดแย้งดำเนินไปเป็นเวลาหลายเดือน

            ทั้งนี้ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นส่งผลให้โรงงานน้ำอัดลมบรรจุขวดโคคาโคล่า ในกรุงตริโปลี ต้องปิดการผลิตไปเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2548 เป็นเวลา 3 เดือน หลังจากโรงงานถูกเข้ายึดโดยกองกำลังที่ภักดีกับ นายมุสตาสซิม กัดดาฟี บุตรชายคนที่ 4 ส่งผลให้ทางการสหรัฐฯ ต้องประท้วงต่อความรุนแรง ที่ส่งผลต่อธุรกิจของงโคคาโคล่า จนกระทั่งกองกำลังของ นายมุสตาสซิม ยอมถอนตัวออกไป และกรณีของโคคาโคล่า ก็ทำให้ธุรกิจต่างชาติพากันทบทวนแผนไปลงทุนในลิเบีย
           
            นอกจากนี้ วิกิลีกส์ ยังระบุว่า ผู้ที่เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยความบาดหมางครั้งนี้ คือ ไอชา น้องสาวของทั้งคู่ ซึ่งเป็นทนายความ และยังระบุว่า พันเอกกัดดาฟี เคยดัดหลังลูกชายคนที่ 4 ด้วยการขายหุ้นกรรมการโอลิมปิกที่ นายมุสตาสซิม ต้องการไปให้กับบุคคลที่ 3 รายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่ถูกนำออกมาเปิดเผยระบุว่า กรณีของโคคาโคล่า เป็นการบ่งชี้ถึง ขอบเขตที่ตระกูลกัดดาฟี เข้าไปเกี่ยวพันกับธุรกิจต่างๆ ในประเทศ โดยเฉพาะโรงกลั่น และส่งออกน้ำมัน ที่มีรายได้มหาศาล ซึ่งปัจจุบันดูแลโดยนายฮันนิบาล มูอัมมาร์ อัล-กัดดาฟี บุตรชายคนที่ 5

          ขณะที่ความเคลื่อนไหวของนานาชาติที่พยายามกดดันให้กัดดาฟีลงจากตำแหน่ง เพื่อรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นนั้น ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ยูเนสโก เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ประกาศระงับความร่วมมือกับประเทศลิเบีย

          โดย นางอิรินา โบโควา ผู้อำนวยการยูเนสโก ได้แถลงการณ์ที่สำนักงานใหญ่ในกรุงปารีสว่า ทางยูเนสโกได้ยุติการเป็นพันธมิตรกับมูลนิธินานาชาติกัดดาฟี เพื่อสมาคมการกุศล (Gaddafi International Foundation for Charity Associations) ซึ่งเคยลงนามในข้อตกลงดังกล่าวร่วมกัน เมื่อปี 2544 เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในด้านวิทยาศาสตร์วัฒนธรรม และการสื่อสาร

          ตามแถลงการณ์ระบุด้วยว่า การตัดสินใจดังกล่าวของยูเนสโกมีขึ้นหลังจากที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ได้ระงับสมาชิกภาพของลิเบีย ในคณะมนตรีสิทธิมนุษยนชนแห่งสหประชาชาติ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

          ด้านนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดเผยระหว่างการหารือกับนายฟิลิเป กัลเดรอน ประธานาธิบดีเม็กซิโก ว่า พันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี ได้สูญเสียความชอบธรรมทางกฎหมายแล้ว และต้องลาออกจากตำแหน่งเท่านั้น

          "สหรัฐฯ และทั่วโลก ล้วนแต่เจ็บปวดต่อเหตุทำร้ายประชาชนชาวลิเบีย เรายืนยันต่อเจตนาเดิมว่า ลิเบีย ต้องหยุดความรุนแรงเดี๋ยวนี้ กัดดาฟีได้สูญเสียความชอบธรรมทางกฎหมาย สำหรับตำแหน่งผู้นำแล้ว และเขาต้องลาออกจากตำแหน่งในทันที"

          นอกจากนี้ ผู้นำสูงสุดของสหรัฐฯ ได้เผยว่า สหรัฐฯ กำลังพิจารณาหนทางในการจัดการกับวิกฤติในลิเบีย พร้อมทั้งเผยว่า หากสถานการณ์ในประเทศลิเบียยังคงดำเนินต่อไปในลักษณะนี้ นานาชาติและสหรัฐฯ อาจต้องหามาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน



มูอัมมาร์ กัดดาฟี
มูอัมมาร์ กัดดาฟี


แรงงานไทย
                                     สถานการณ์ความรุนแรงในลิเบีย



[28 กุมภาพันธ์] เปิดโปงเบื้องหลังธุรกิจ - ครอบครัว กัดดาฟี


          เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า วิกิลีกส์ เว็บไซต์จอมแฉระดับโลก และสื่อต่างประเทศ ได้ร่วมกันเปิดโปงข้อมูลการใช้อำนาจโกงกินประเทศของครอบครัวกัดดาฟีที่มีมายาวนาน หลังประธานาธิบดี กัดดาฟี ออกมาแถลงลั่นจะกอดอำนาจจนตัวตาย และปลุกระดมให้ใช้ความรุนแรงกับประชาชนผู้ต่อต้านระบอบการปกครอง เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

           รายงานระบุว่า ครอบครัวกัดดาฟีได้ใช้อำนาจโกงกินบ้านเมืองและฮุบสมบัติชาติมาเป็นระยะเวลายาวนาน ด้วยการส่งลูก ๆ เข้าไปมีอิทธิพลในหน่วยงานและธุรกิจระดับประเทศต่าง ๆ ดังนี้

           1. มูฮัมมัด กัดดาฟี ลูกชายคนโต ลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคม
           2. มูอาทาสซิม กัดดาฟี ลูกชายอีกคน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ
           3. ฮันนิบาล กัดดาฟี เป็นผู้ทรงอิทธิพลในธุรกิจการนำเข้าและส่งออกทางทะเล
           4. คามิส กัดดาฟี ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด
           5. ซาอาดี กัดดาฟี ได้รับมอบหมายให้ก่อตั้งเขตการค้าส่งออกเสรี ในลิเบียตะวันตก



ซาอีฟ อัล กัดดาฟี


           ขณะเดียวกัน ลูกคนอื่น ๆ ในครอบครัวกัดดาฟี ยังมีรายได้พิเศษจำนวนมหาศาลที่ได้จากบริษัทน้ำมันในลิเบีย ส่วน ซาอีฟ อัล กัดดาฟี ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ กัดดาฟี ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในลิเบีย ได้พยายามสร้างภาพลักษณ์ที่มีเกียรติต่อกลุ่มประเทศอาหรับ เป็นหน้าเป็นตาของประเทศลิเบีย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ดูเหมือนว่าตอนนี้ภาพลักษณ์ของเขากำลังจะถูกทำลายด้วยตัวของเขาเองแล้ว หลังจากที่ได้ออกมาแถลงการณ์ต่อผู้ประท้วงว่า รัฐบาลจะไม่ลงจากตำแหน่งเด็ดขาด พร้อมขู่ผู้ประท้วงว่าจะเกิดสงครามกลางเมืองอย่างหนักขึ้น ถ้าหากผู้ประท้วงยังคงต่อต้านรัฐบาลต่อไปอย่างนี้ ซึ่งนั่นคล้ายกับจะเป็นการกระชากหน้ากากให้เห็นตัวจริงภายใต้ตัวตนอันมีเกียรติของเขาออกมาให้ทั่วโลกได้เห็น และหลังจากนั้น หลายประเทศก็ได้ประณามการกระทำดังกล่าว

           ด้าน มูอาทาสซิม กัดดาฟี ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ได้ถูกสื่อต่างประเทศเปิดโปงพฤติกรรมทุจริตของเขาที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2008 โดยระบุว่า มูอาทาสซิม กัดดาฟี ได้ใช้อำนาจบังคับให้นายชูกรี กาเน็ม ประธานบริษัทน้ำมันแห่งลิเบีย แบ่งรายได้ให้เขาเป็นจำนวนเงิน 3.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งทางกาเน็มก็ได้กล่าวกับคนสนิทขณะพิจารณาการยินยอมจ่ายเงินตามที่มูอาทาสซิมบังคับมาว่า เขากลัวมูอาทาสซิมจะตามจองเวรหากเขาไม่ยอมจ่ายเงินให้ในขณะนั้น และมูอาทาสซิมกับพี่น้อง ก็ได้ส่วนแบ่งและรายได้จากธุรกิจน้ำมันจำนวนมหาศาลมาโดยตลอด



ฮันนิบาล กัดดาฟี

           ส่วน ฮันนิบาล กัดดาฟี ผู้ทรงอิทธิพลในธุรกิจการนำเข้าและส่งออกทางทะเล ได้ถูกแฉถึงเรื่องราวความทารุณโหดร้ายต่อภรรยาว่า ฮันนิบาลได้ตบตีและทำร้ายร่างกาย เอลิน ภรรยาของเขาสารพัด จนได้รับบาดเจ็บ และทำให้เอลินต้องจำใจหนีไปอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งหลังจากที่เอลินเดินทางไปลอนดอน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็สิ้นสุดลง และยิ่งไปกว่านั้น ฮันนิบาล พร้อมกับแม่และน้องสาว ไอชา ยังสั่งให้เอลินให้ปากคำกับตำรวจว่า บาดแผลและรอยบวมช้ำในตัวของเธอนั้น เป็นเพราะเธอประสบอุบัติเหตุและไม่ได้ถูกทำร้ายแต่อย่างใด

           นอกจากนี้ ยังมีการยักยอกเงินจากธุรกิจน้ำมันอีกจำนวนมหาศาล แล้วนำเข้าธนาคารในต่างประเทศ ทั้งประเทศแถบเปอร์เซีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีการสันนิษฐานว่า ประธานาธิบดี กัดดาฟี อาจซ่อนขุมทรัพย์จำนวนมหาศาลไว้ในรูปแบบต่าง ๆ ทั่วภูมิภาค ซึ่งยากแก่การตรวจสอบได้ และยิ่งไปกว่านั้น ยังมีรายงานอีกว่า ประธานาธิบดี กัดดาฟี ยังใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย โดยเสียไปกับการลงทุนและสนับสนุนโครงการและธุรกิจต่าง ๆ ในหลายประเทศ เพื่อซื้อใจรัฐบาลประเทศนั้น ๆ และการบำเรอความสุขของตัวเอง อย่างที่เว็บไซต์วิกีลีกส์ได้แฉออกมาวันนี้ว่า ครอบครัวกัดดาฟีได้ทุ่มทุนจัดคอนเสิร์ตบียอนเซ่ เป็นคอนเสิร์ตส่วนตัวเพื่อสร้างความบันเทิงเล็ก ๆ ในครอบครัว ขณะที่ ซาอีฟ อัล อิสลาม กัดดาฟี ก็ทุ่มทุนสร้างคฤหาสน์หลังโต 8 ห้องนอน ไว้ในกรุงลอนดอน มีโรงหนังและห้องบันเทิงต่าง ๆ คอยอำนวยความสะดวก มูลค่าสูงกว่า 500 ล้านบาทเลยทีเดียว

           อย่างไรก็ดี แม้จะมีการเปิดโปงมาแล้วหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่า กัดดาฟี ก็ไม่ได้ใส่ใจและพูดถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย เขายังคงยืนยันที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไป โดยอ้างว่าทำเพื่อชาติ เพื่อศาสนา และจะขอต่อสู้จนกว่าจะขาดใจตาย พร้อมกับประกาศลั่นว่าจะไม่ยอมลงจากตำแหน่งเด็ดขาด แม้จะมีการประท้วงอย่างต่อเนื่องก็ตามที และถ้าหากผู้ประท้วงยังคงประท้วงกันต่อไป พวกเขาจะใช้ความรุนแรงทางการทหารเข้าบดขยี้ประชาชน แถมยังปลุกระดมให้ผู้สนับสนุนรัฐบาลโจมตีผู้ประท้วงได้ตามใจชอบอีกด้วย




  ประวัติ มูอัมมาร์ กัดดาฟี

          มูอัมมาร์ อัล กัดดาฟี เกิดเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1942 ในกระโจมทะเลทรายใกล้เมืองเซิร์ต และเติบโตมาในทะเลทราย โดยชีวิตวัยเด็ก กัดดาฟีก็ได้รับการศึกษาในโรงเรียนมุสลิมเช่นเดียวกับเด็ก ๆ มุสลิมคนอื่น ๆ และชื่นชอบวิชาประวัติศาสตร์เป็นที่สุด และในระหว่างที่เข้ากำลังเรียนชั้นมัธยมศึกษาเมื่อปี ค.ศ.1956 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นในกลุ่มประเทศอาหรับ กัดดาฟีได้เริ่มเดินขบวนเคลื่อนไหวทางการเมือง ตามอุดมการณ์ของนัสเซอร์ ผู้นำแห่งอียิปต์ เพื่อสนับสนุนการโอนคลองสุเอชเป็นของรัฐ ซึ่งในที่สุด เขาก็ถูกทางโรงเรียนไล่ออก แต่ก็จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาเนื่องจากทางพ่อแม่ได้จ้างครูมาสอนส่วนตัวเมืองมิซูราตะ

          หลังจากจบมัธยมแล้ว เขาก็ได้เข้ามาอยู่ในโรงเรียนนายร้อยเบงกาซี เหมือนกับนัสเซอร์ วีรบุรุษของเขา และเริ่มปลูกฝังความคิดชาตินิยมให้กับนักเรียนนายร้อยคนอื่น ๆ และจัดตั้งขบวนการนายทหารเสรี เพื่อปฎิวัติราชบัลลังค์อัลฟารุค ต่อมา เมื่อจบจากโรงเรียนนายร้อย กัดดาฟีก็ได้ไปเป็นนายทหารกองทัพบก ซึ่งกัดดาฟีเป็นทหารที่มีพฤติกรรมดีมาก ไม่แตะต้องสุรานารี บุหรี่ และดำรงตนอยู่ในคำสอนแห่งศาสนา ต่อมา กัดดาฟีได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ และเป็นร้อยเอกดำรงตำแหน่งนายทหารคนสนิทกับผู้บังคับบัญชากองพลทหารสื่อสาร แล้วร่วมมือกับคณะทหารล้มล้างระบบกษัตริย์ของลิเบียสำเร็จ และจับกุมทหารราชองครักษ์และตำรวจให้ตกอยู่ในอำนาจของเขา ก่อนจะสถาปนาตัวเองเป็นประธานาธิบดีกัดดาฟี กุมอำนาจการปกครองประเทศไว้ในมือตั้งแต่นั้นมา

          หลังจากที่เขายึดอำนาจได้แล้ว ก็แก้ปัญหาเรื่องเอกราชโดยให้สหรัฐและอังกฤษถอนกำลังฐานทัพออกไปจากลิเบีย และมาปฏิวัติเรื่องน้ำมัน ให้โอนมาเป็นของรัฐทั้งหมด ซึ่ง ณ ขณะนั้น ลิเบียเป็นประเทศที่มีทรัพยากรน้ำมันมากมาย ทำให้ลิเบียกลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในกลุ่มประเทศอาหรับ และเมื่อทรัพยากรน้ำมันได้สร้างรายได้มหาศาลให้กับลิเบีย กัดดาฟีก็นำเอารายได้ที่ได้จากการขายน้ำมันนั้นมาพัฒนาโครงการเศรษฐกิจ และพัฒนาความเป็นอยู่ของประชากร จนทำให้ประชากรมีชีวิตที่อยู่ดีกินดีอย่างมาก อีกทั้งยังช่วยค่าครองชีพของประชากร และลดเงินเดินของรัฐมนตรีลงกว่าครึ่งในตอนนั้น ทำให้ผู้คนต่างชื่นชอบกัดดาฟีเป็นอย่างมาก เรียกว่าสิ่งที่กัดดาฟีได้ทำนั้นสามารถซื้อใจชาวลิเบียได้มากเลยทีเดียว อีกทั้งยังสร้างไมตรีอันดีในกลุ่มประเทศอาหรับ ทั้งการให้ความช่วยเหลือ การลงทุนในประเทศ กัดดาฟีจึงกลายเป็นวีรบุรุษที่อยู่ในใจชาวลิเบียและหลายชาติในโลกอาหรับเรื่อยมา แต่ใครเลยจะรู้ว่า ภายใต้ภาพลักษณ์อันสง่างามของเขา กลับซ่อนตัวตนที่แท้จริงที่ไม่ได้งดงามแต่อย่างใด กัดดาฟีได้ใช้อำนาจกดขี่ข่มเห่งประชาชน เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์จากธุรกิจน้ำมัน และการส่งออกต่าง ๆ ในลิเบีย พร้อมทั้งยึดทรัพย์สินอันควรจะตกแก่แผ่นดินให้เป็นของตัวเอง แล้วใช้จ่ายไปกับการบำเรอความสุขส่วนตัวของตัวเองอย่างฟุ่มเฟือย

          แต่หลังจากที่ประธานาธิบดีกัดดาฟี ปกครองลิเบียมาถึงปีที่ 41 ก็เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองขึ้น เมื่อชาวลิเบียได้รับแรงบันดาลใจจากประเทศอิยิปต์และตูนีเซีย เดินขบวนกันประท้วงขับไล่ประธานาธิบดีออกจากตำแหน่ง เพื่อปฏิวัติการเมืองในลิเบีย คืนประชาธิปไตยให้กับประชาชน ดังที่ประชาชนชาวอียิปต์และตูนีเซียได้ทำสำเร็จไปแล้ว แต่ทว่าประธานาธิบดีกัดดาฟีก็ไม่ยอมลงจากตำแหน่งแต่อย่างใด พร้อมกอดอำนาจอันหอมหวานไว้กับตัว และประกาศกร้าวว่าจะอยู่ในตำแหน่งจนวินาทีสุดท้ายอย่างที่เป็น






เรื่องที่คุณอาจสนใจ
สื่อเผย วังกัดดาฟี เตรียมพร้อมทำศึกนานแล้ว อัปเดตล่าสุด 22 มีนาคม 2554 เวลา 06:58:15 121,687 อ่าน
TOP