คชอ. แจงหลักเกณฑ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยใต้

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี แจงหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบอุกภัยภาคใต้ ผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังผู้ว่าราชการ 10 จังหวัดที่ประสบอุทกภัย

          จากสถานการณ์อุทกภัยและดินถล่มทางภาคใต้ ได้สร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก รัฐบาลจึงเร่งปรึกษาหารือถึงแนวทางแก้ไข โดยได้นำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 เมษายน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติตามแนวทางที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ได้เสนอ และเมื่อวันที่ 6 เมษายน นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ได้ชี้แจงหลักเกณฑ์ในการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด 10 จังหวัดที่ประสบอุทกภัย รวมทั้งนายอำเภอ ตัวแทนธนาคารออมสิน และกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ดังนี้

          1. อนุมัติขยายการใช้อัตรา หลักเกณฑ์ วิธีการจ่ายเงิน และกรอบวงเงินการช่วยเหลือเกษตรกรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2553 วันที่ 16 พฤศจิกายน 2553 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2553 และวันที่ 24 มกราคม 2554 นำมาใช้กับภัยพิบัติในจังหวัดภาคใต้ที่เกิดขึ้นขณะนี้ไปจนสิ้นสุดภัย ทั้งนี้ เฉพาะเกษตรกรรายที่ขึ้นทะเบียนไว้ก่อนเกิดภัยพิบัติ

          2. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้กรอบวงเงินที่เหลืออยู่ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2553 และวันที่ 24 มกราคม 2554 จำนวน 1,605.48 ล้านบาท เพื่อให้การช่วยเหลือด้านเกษตรกรในครั้งนี้

          3. อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม จำนวน 1,632.40 ล้านบาท

          สำหรับกรอบวงเงินการช่วยเหลือด้านการเกษตรรวมจำนวน 3,237.88 ล้านบาท

          การประมง จำนวน 366.94 ล้านบาท

          การปศุสัตว์ จำนวน 368.8 ล้านบาท

          นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ยังอนุมัติเงินช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ ครัวเรือนละ 5,000 บาท รวม 10 จังหวัด ตามหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือที่ คชอ. กำหนด ในกรอบไม่เกินจำนวน 579,062 ครัวเรือน รวมงบประมาณทั้งสิ้นไม่เกิน 2,895 ล้านบาท โดยผู้ประสบภัยที่จะได้รับเงินช่วยเหลือ จะต้องเข้าตามหลักเกณฑ์การจ่ายเงินที่มีครัวเรือนอยู่อาศัย ในพื้นที่ประสบภัยกรณีใดกรณีหนึ่งใน 3 กรณี ประกอบด้วย

          1. น้ำท่วมถึงบ้านพักอาศัยโดยฉับพลัน ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย

          2. บ้านพักอาศัยถูกน้ำท่วมขังติดต่อกันไม่น้อยกว่า 7 วัน 

          3. บ้านพักอาศัยต้องได้รับความเสียหายจากน้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม

          โดยผู้ที่จะได้รับเงินช่วยเหลือดังกล่าว ต้องอยู่ในเขตพื้นที่ประกาศภัยพิบัติเท่านั้น และลักษณะครัวเรือนที่อยู่อาศัยที่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ โดยบ้านพักอาศัยที่มีทะเบียนบ้าน หรือ บ้านเช่า ผู้เช่าจะเป็นผู้ได้รับเงินช่วยเหลือ แต่กรณีบ้านพักอาศัย บ้านเช่ามีหลายชั้น ให้ได้รับเงินช่วยเหลือเฉพาะชั้นที่น้ำท่วมถึงเท่านั้น โดยคาดว่าจะเริ่มจ่ายเงินให้ผู้เดือดร้อนได้ตั้งแต่ช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์เป็นต้นไป

สำหรับหลักฐานการแสดงสิทธิ์ขอรับการช่วยเหลือ

          1. กรณีบ้านพักอาศัยที่มีทะเบียนบ้าน ใช้สำเนาทะเบียนบ้าน

          2. กรณีบ้านพักอาศัยที่ไม่มีทะเบียนบ้าน ใช้หนังสือรับรองโดยผู้ปกครองท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน) หรือ ผู้บริหารท้องถิ่น (นายกเทศมนตรี นายก อบต.)

          3. กรณีบ้านเช่า ใช้สัญญาเช่า/หนังสือรับรองการเช่าจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

          4. กรณีอื่น ๆ เช่น ที่พักอาศัยที่ประสบภัยพิบัติ ตามหลักเกณฑ์ข้อ 4 ให้ใช้หนังสือรับรองโดยผู้ปกครองท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน) หรือ ผู้บริหารท้องถิ่น (นายกเทศมนตรี นายก อบต.)

          5. ทุกกรณีให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนในการตรวจสอบและรับรอง

          โดยคณะกรรมการทั้งหมดจะลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายในวันที่ 7 เมษายน ทั้งนี้ คชอ.จะเร่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ประสบอุทักภัยปี 53 ให้เสร็จก่อนวันที่ 10 เมษายน เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนกับการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสพอุทกภัยปี 54 ซึ่งถ้าจังหวัดใดตรวจสอบความเสียหายเสร็จก็สามารถอนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท ได้ทันที

          นอกจากนี้ ครม.ได้เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ตามที่นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลังเสนอ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 มาตรการ ประกอบด้วย

1. มาตรการด้านการเงิน

          ได้กำหนดมาตรด้านการเงินโดยผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน  ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) ได้ให้ความช่วยเหลือในการลดดอกเบี้ย ขยายระยะเวลาชำระคืนเงินต้น ผ่อนผันการพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย จำหน่ายลูกหนี้เป็นหนี้สูญกรณีเสียชีวิตจากอุทกภัย ให้เงินกู้ใหม่เพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต ตลอดจนปลูกสร้างหรือซ่อมแซมอาคารและที่อยู่อาศัย และลดหย่อนหลักประกันการกู้เงินจากหลักเกณฑ์ปกติ

2. มาตรการด้านภาษี

          เป็นการบรรเทาภาระภาษีแก่ผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 เป็นต้นไป โดยจะยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่ผู้ประสบภัยได้รับจากรัฐบาล หรือการบริจาค รวมทั้งยกเว้นภาษีนิติบุคคลสำหรับเงินค่าสินไหมทดแทนที่ได้รับจากบริษัทประกันภัยด้วย นอกจากนั้น ผู้บริจาคที่เป็นบุคคลธรรมดายังได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ ซึ่งเมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นจะต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน  และหากเป็นนิติบุคคลก็ได้รับยกเว้นเช่นกันโดยเมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะอื่น ๆ ก็ต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ ทั้งนี้ ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการที่นำสินค้าไปบริจาคด้วย รวมถึงได้เห็นชอบให้ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา จาก 31 มีนาคม เป็น 31 พฤษภาคม 2554 โดยภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะของผู้ประกอบการก็ให้ขยายการยื่นแบบแสดงรายการในเดือนมีนาคม และเมษายน เป็น 31 พฤษภาคม เช่นกัน

3. มาตรการด้านความช่วยเหลือของกรมบัญชีกลาง

          กรมบัญชีกลางได้ขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ชุมพร นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ตรัง กระบี่ สงขลา และพังงา จังหวัดละ 50 ล้านบาท เป็นจังหวัดละ 100 ล้านบาท

          สำหรับพื้นที่ใดที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว ทาง คชอ. ก็จะเร่งให้หน่วยงานของรัฐเข้าไปดำเนินการซ่อมแซม ก่อสร้าง ที่อยู่อาศัยและสาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหาย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนโดยเร็วที่สุด

 



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    , pm.go.th