รถไฟชน 18 ล้อพิษณุโลก ไฟคลอก ดับ 3 (ไอเอ็นเอ็น)
รถพ่วง 18 ล้อ ตัดหน้ารถไฟด่วนพิเศษ เชียงใหม่-พิษณุโลก ไม่พ้น ถูกชนลากไปไกลกว่า 300 เมตร ไฟลุกท่วม เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ 3 ราย ผู้โดยสารหนีกระเจิง
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่ผ่านมาเกิดเหตุรถพ่วง 18 ล้อขับตัดหน้า รถด่วนพิเศษสปรินเตอร์ขบวนที่ 12 เชียงใหม่-พิษณุโลก ความเร็วทำให้หัวรถบรรทุกพ่วงถูกรถไฟลากไปไกลกว่า 300 เมตร และเกิดไฟลุกท่วมอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้โดยสารที่อยู่บนขบวนรถ จำนวนกว่า 60 คน ต้องวิ่งหนีตายกันอย่างชุลมุน ในขณะที่คนที่นั่งมาในรถบรรทุก 2 คน กระเด็นออกจากรถ และถูกรถไฟลากจนลำตัวขาดสองท่อน ส่วนคนขับติดไปกับหัวรถ ถูกไฟคลอกจนไหม้เกรียม ทั้ง 3 ราย เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
โดยเหตุเกิดที่บริเวณทางข้ามรถไฟ บ้านวงฆ้อง ต.วงฆ้อง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ซึ่ง น.ส.จีรภา เจริญปรุ พนักงานต้อนรับบนรถไฟ ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ขณะที่ขบวนรถไฟขับมาด้วยความเร็วสูง เนื่องจากเป็นขบวนรถที่ไม่จอดสถานีย่อย แต่เมื่อผ่านจุดที่เกิดเหตุ ก็ปรากฏว่า รถบรรทุกพ่วงได้พยายามเร่งขับตัดหน้ารถไฟ โดยเห็นว่า รถคันดังกล่าววิ่งมาด้วยความเร็ว แต่ก็ไม่พ้น เกิดประสานงากันอย่างแรง และเนื่องจากรถบรรทุกคันดังกล่าว ได้บรรทุกวัสดุก่อสร้าง มีวัตถุติดไฟง่ายมาด้วย จึงทำให้เกิดเปลวเพลิงลุกไหม้ เข้ามาในขบวนรถอย่างรวดเร็ว สร้างความตกใจให้กับผู้โดยสารบนขบวนรถเป็นอย่างมาก ต่างก็วิ่งหนีตายเอาตัวรอด โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสาหัส
ขณะที่ นายนเรศ ธงขาว ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.7 ต.วงฆ้อง ที่บ้านพักอยู่ละแวกนั้น ได้คว้าโทรศัพท์มือถือรีบวิ่งมาที่เกิดเหตุทันที และบันทึกภาพเหตุการณ์ขณะที่ไฟกำลังลุกท่วมโบกี้รถไฟตู้แรก ที่ไฟได้โหมไหม้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ผู้โดยสารที่ประสบเหตุ และชาวบ้านละแวกนั้น ได้ช่วยกันเข็นโบกี้รถไฟตู้ที่สอง ออกจากโบกี้ตู้แรก เพื่อป้องกันไฟที่กำลังลุกลามมาอย่างรวดเร็ว และหลังเกิดเหตุ นายปรีชา เรืองจันทร์ ผวจ.พิษณุโลก เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ ระบุต้องใช้เงิน 5 ล้านบาท ทำที่กั้นรถไฟ เพราะปี 2553 ที่จุดเดียวกันนี้ ก็ประสบเหตุรถไฟชนรถยนต์มีผู้เสียชีวิต 3 ราย
ทั้งนี้ รถไฟสายเหนือได้เป็นอัมพาตทันที ไม่สามารถขึ้นล่องได้ เนื่องจากรถไฟโบกี้แรก ที่ถูกไฟไหม้นั้น ตกรางอยู่ด้วย ซึ่งทางการรถไฟได้นำรถยกมาจากจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อนำรถไฟที่เสียหายไปเก็บไว้ ที่สถานีรถไฟหนองตม คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันนี้
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ครอบครัวข่าว 3, ครอบครัวข่าว 3
