x close

จาตุรนต์ หนุน ส.ส.เพื่อไทยลงมติ รธน.วาระ 3


จาตุรนต์ ฉายแสง

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Chaturon Chaisang

          จาตุรนต์ ออกจดหมายเปิดผนึก หนุน ส.ส.เพื่อไทย เดินหน้าโหวตรัฐธรรมนูญวาระ 3 ย้ำ ศาล รธน. ไม่มีอำนาจวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

          เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2555 นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ในฐานะประธานสถาบันการศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทยและประชาชนผู้รักประชาธิปไตย กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอการลงมติร่างแก้รัฐธรรมนูญวาระ 3 ว่า สังคมไทยอยู่ระหว่างทางสองแพร่ง คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เดินหน้าต่อไปมีการลงมติวาระ 3 เลือกตั้ง สสร. และมีการลงประชามติ ส่งผลให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยภายใต้เสียงของประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งทำให้เราแก้ไขวิกฤติพื้นฐานของประเทศ ที่สืบเนื่องจากรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

          ส่วนอีกทางหนึ่ง คือ การล้มรัฐธรรมนูญ โดยศาลรัฐธรรมนูญ จะเดินหน้าพิจารณาคำร้องต่อไป และวินิจฉัยว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้เป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมทั้งให้ยุติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะส่งผลให้เราย้ำอยู่กับที่ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่ยุติธรรม ร้ายไปกว่านั้นเราจะอยู่ภายใต้การปกครองที่ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสูงสุด โดยที่ประชาชนไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้อีกต่อไป ถือเป็นการละเมิดรัฐสภาที่มีอำนาจสูงสุด ถ้าเหตุการณ์พัฒนาไปเช่นนั้นจะนำไปสู่ปัญหาอีกมาก เช่น การยุบพรรคการเมือง การถอดถอนคณะรัฐมนตรี ดังนั้นจะเกิดสูญญากาศทางการเมืองซึ่งอาจทำให้มีผู้เสนอ มาตรา 7 ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญดึงดันบิดเบือนในการที่จะขัดรัฐธรรมนูญมากขึ้นเรื่อย โดยไม่ยึดถึงการตีความของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในชุดก่อน ๆ ที่มีบรรทัดฐานว่า ผู้ร้องไม่มีอำนาจที่จะยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยตรงแต่ต้องยื่นต่ออัยการสูงสุดตรวจสอบก่อนที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

          ดังนั้น รัฐสภาจะพิจารณาตัดสินใจดำเนินการอย่างไรต่อไปต่อคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญและการลงมติในวาระที่ 3 เป็นกรณีที่มีความหมายสำคัญอย่างยิ่งต่อหลักการประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ทั้งยังอาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อวิกฤตของประเทศทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ตนขอเสนอความเห็นดังนี้

          1. ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องในกรณีนี้ไว้พิจารณาได้โดยตรง และศาลรัฐธรรมนูญในอดีตก็ได้วินิจฉัยตีความรัฐธรรมนูญในเรื่องเดียวกันไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วว่า ผู้ร้องไม่มีอำนาจหรือสิทธิที่จะร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่จะต้องร้องผ่านอัยการสูงสุดเพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไปเท่านั้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงกำลังกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญเสียเอง

          2. คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งให้เลขาธิการรัฐสภาแจ้งให้ประธานรัฐสภาชะลอการพิจารณาลงมติในวาระ 3 ออกไป ไม่มีผลผูกพันรัฐสภา รัฐสภาจึงไม่ต้องปฏิบัติตาม แม้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเองก็ออกมายอมรับแล้วว่าไม่ได้สั่งประธานรัฐสภา  และไม่มีอำนาจจะสั่งได้

          3. ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ปัจจุบันไม่ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ตรวจสอบหรือวินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าในขั้นตอนที่ยังร่างไม่เสร็จหรือร่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญนี้ และมาตรา 68 ก็มิได้มีไว้ตรวจสอบการร่างรัฐธรรมนูญของรัฐสภา

          4. ขณะนี้การพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 2 ได้ผ่านพ้นมาเกินกว่า 15 วัน  รัฐธรรมนูญมาตรา 291 กำหนดให้รัฐสภาต้องจัดให้มีการลงมติในวาระที่ 3 ต่อไป แม้ไม่กำหนดว่าจะต้องลงมติในวันใด โดยประเพณีปฏิบัติของรัฐสภาก็มักกระทำกันในโอกาสแรก

โดยขณะนี้รัฐสภามีทางเลือกปฏิบัติ 2 ทาง คือ

          1. ยืนยันว่าคำสั่งศาลไม่ผูกพันรัฐสภาและกำหนดวันที่เหมาะสมเพื่อลงมติวาระที่ 3 ต่อไป หรือ

          2. ยังไม่ลงมติวาระที่ 3 รอจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคำร้องเสียก่อน

          หากมีการลงมติในวาระที่ 3 ต่อไป และได้เสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภา ก็เท่ากับว่ารัฐสภาเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นอันสิ้นสุดกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภา ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยตรวจสอบ หรือระงับยับยั้งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้อีก แต่ถ้ารัฐสภาไม่มีการลงมติในวาระที่ 3 ปล่อยให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยกรณีที่มีผู้ร้องต่อไป ก็เท่ากับรัฐสภาจงใจไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ยินยอมให้ศาลรัฐธรรมนูญมาก้าวก่ายแทรกแซงการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ กระทั่งมีอำนาจเหนือกว่ารัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อันจะเป็นบรรทัดฐานที่ผิดอย่างร้ายแรงต่อไป ผลที่ตามมาอาจจะได้แก่การยุติการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ และยิ่งกว่านั้นจะมีผลเท่ากับปิดโอกาสในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องสำคัญต่อไปในอนาคตด้วย

          ปัญหาพื้นฐานและต้นเหตุที่สำคัญที่สุดของวิกฤตประเทศคือ ความไม่เป็นประชาธิปไตยและความอยุติธรรม หนทางที่จะแก้ปัญหานี้ได้ที่สำคัญคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทยได้ร่วมกับประชาชนต่อสู้กับอำนาจเผด็จการตลอดมาก็เพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ที่ประชาชนสนับสนุนพรรคเพื่อไทยก็เพื่อให้พรรคมาแก้ปัญหา พัฒนาประเทศ และเพื่อให้มาร่วมกันทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย

          ถึงแม้ว่าประชาชนได้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลแล้วนั้น ตราบใดที่รัฐธรรมนูญนี้ยังไม่เป็นประชาธิปไตย ก็ยังไม่มีหลักประกันใด ๆ เลยว่ารัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจะตอบสนองความต้องการของประชาชนได้มากน้อยเพียงใด นอกจากนั้นรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนี้ยังจะทำให้วิกฤตของประเทศร้ายแรงยิ่งขึ้นต่อไปด้วย ประชาชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย และโดยเฉพาะประชาชนที่ได้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยความเสียสละจำนวนมากมายมหาศาล รวมทั้งผู้ที่เสียสละชีวิตและเลือดเนื้อไปเป็นจำนวนมากนั้น มิได้ต้องการเพียงให้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ต้องการให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยและสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตลอดมา

          ทั้งนี้ นายจาตุรนต์ กล่าวย้ำว่า มาถึงโอกาสนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทยจะร่วมกับสมาชิกรัฐสภาผู้ยึดถือหลักการประชาธิปไตยทั้งหลายยืนยันหลักการและความถูกต้อง ปฏิเสธคำสั่งที่ไม่มีผลผูกพันรัฐสภา ยืนยันว่าอำนาจในการบัญญัติรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภา และดำเนินการต่อไปเพื่อให้มีการลงมติในวาระที่ 3 เพื่อให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยประชาชน และให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยตามที่ประชาชนทั้งประเทศได้ฝากความหวังไว้


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
จาตุรนต์ หนุน ส.ส.เพื่อไทยลงมติ รธน.วาระ 3 โพสต์เมื่อ 12 มิถุนายน 2555 เวลา 12:03:13
TOP