เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
เจาะทรัพย์สิน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.จอมแฉ พบรายได้ส่วนตัวลดลง แต่ภรรยามีทรัพย์สินเพิ่มเกือบ 60 ล้าน เผย ตุนพันธบัตร-หุ้น 35 ล้าน แถมยังปลูกบ้านใหม่ 17 ล้าน
วันนี้ (15 มิถุนายน) ได้มีการเปิดบัญชีทรัพย์สินของ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้มีผลงานด้านการตรวจสอบการทำหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงทางการเมืองมานับไม่ถ้วน โดยพบว่า ตอนรับตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา (สรรหา) เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2551 นายเรืองไกร และคู่สมรสมีหนี้สินเพียง 18,710.92 บาท และเพิ่มเป็น 10,243,818.39 บาท เมื่อพ้นตำแหน่งวันที่ 18 เมษายน 2554 แต่ต่อมาหนี้สิ้นก็ลดลงเหลือ 3,703,939.97 บาท หลังพ้นตำแหน่ง 1 ปี ในวันที่ 17 เมษายน 2555
และแม้ในช่วงเวลา 4 ปีที่รับตำแหน่ง และพ้นตำแหน่ง นายเรืองไกร จะมีทรัพย์สินลดลง 9,833,139 บาท และในช่วงเวลา 5 ปีที่รับตำแหน่ง-และพ้นตำแหน่งครบ 1 ปี เมื่อ 17 เมษายน 2555 นายเรืองไกรมีทรัพย์สินลดลง 10,587,497.57 บาท แต่ในห้วงเวลา 4 ปี นายเรืองไกร และคู่สมรส กลับมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินเพิ่มขึ้น 34,034,133.53 บาท และในห้วงเวลา 5 ปี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินถึง 47,815,182.29 บาท
ที่น่าสนใจก็คือ ในช่วง 4 ปี นางอโนทัย ภรรยาของนายเรืองไกร มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 50,822,197.62 บาท และในช่วง 5 ปี เพิ่มขึ้น 58,679,028.23 บาท ซึ่งจากการตรวจสอบเปรียบเทียบทรัพย์สิน พบว่า รายการทรัพย์สินของนายเรืองไกรที่ลดลงคือ เงินฝาก รายการทรัพย์สินของนางอโนทัยที่เพิ่มขึ้นคือ เงินลงทุน และ ที่ดิน
ทั้งนี้ เงินลงทุน ตอนรับตำแหน่ง นายเรืองไกรมี 1 รายการคือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย 2 ล้านบาท คู่สมรสมีเงินลงทุน 5 รายการ ได้แก่
1. พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย 19 ล้านบาท
2. หุ้นกู้บริษัท ดีวีดี เอสพีวี 5 ล้านบาท
3. กองทุนเปิดบังหลวงหุ้นระยะยาว 448,123.87 บาท
4. กองทุนเปิดบัวหลวงระยะยาว 75/25 มูลค่า 302,089.30 บาท
5. เงินลงทุนห้างหุ้นส่วนสามัญ ไพร์ซวอเตอร์เฮ้าส์ คูเปอร์โฮลดิ้งส์ 6,400,000 บาท
ทว่า เมื่อพ้นตำแหน่ง นายเรืองไกรมีเงินลงทุน 3 รายการ คือ
1. หุ้นกู้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 20,000 หุ้น มูลค่า 20 ล้านบาท
2. พันธบัตร ธปท. มูลค่า 2 ล้านบาท
3. พันธบัตรไทยเข้มแข็ง 1 ล้านบาท
ส่วนนางอโนทัย มีเงินลงทุน 9 รายการ ได้แก่
1. พันธบัตร ธปท. 18 ล้านบาท
2. พันธบัตรไทยเข้มแข็ง 1 ล้านบาท
3. หุ้นกู้ ปตท.เคมิคอล 3,000 หุ้น มูลค่า 3 ล้านบาท
4. หุ้นกู้ ดีเอดี เอสพีวี 5,000 หุ้น มูลค่า 5 ล้านบาท
5. กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว มูลค่า 607,744.73 บาท
6. กองทุนเปิดบัวหลวงระยะยาว 75/25 มูลค่า 1,558,914.58 บาท
7. กองทุนรวมบัวหลวงตราสารหนี้ 3/11 มูลค่า 5,003,950 บาท
8. กองทุนเปิดบัวหลวงธนทวี มูลค่า 2,810.31 บาท
9. เงินลงทุนห้างหุ้นส่วนสามัญ ไพร์ซวอเตอร์เฮ้าส์ คูเปอร์โฮลดิ้งส์ 7,200,000 บาท
ขณะที่บุตรมีเงินลงทุนพันธบัตรไทยเข้มแข็ง 2 ล้านบาท
เมื่อตรวจสอบทรัพย์สินหลังพ้นตำแหน่ง ครบ 1 ปี พบว่า นายเรืองไกรมีเงินลงทุน 2 รายการ
1. หุ้นกู้ธนาคารงกรุงศรีอยุธยา 20,000 หุ้น มูลค่า 20 ล้านบาท
2. พันธบัตร ไทยเข้มแข็ง มูลค่า 1 ล้านบาท
ส่วนนางอโนทัย มีเงินลงทุน 8 รายการ
1. พันธบัตร ธปท. 8 ล้านบาท
2. พันธบัตรไทยเข้มแข็ง 1 ล้านบาท
3. หุ้นกู้ พีทีที โกลบอล 3,000 หุ้น มูลค่า 3 ล้านบาท
4. หุ้นกู้ ดีเอดี เอสพีวี 5,000 หุ้น มูลค่า 5 ล้านบาท
5. กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว มูลค่า 1,222,777.51 บาท
6. กองทุนเปิดบัวหลวงระยะยาว 75/25 มูลค่า 839,028.49 บาท
7. กองทุนเปิดบัวหลวงธนทวี มูลค่า 2,875.18 บาท
8. เงินลงทุนห้างหุ้นส่วนสามัญ ไพร์ซวอเตอร์เฮ้าส์ คูเปอร์ส โฮลดิ้งส์ 7,200,000 บาท
ขณะที่บุตรมีเงินลงทุนพันธบัตรไทยเข้มแข็ง 2 ล้านบาท
นอกจากนี้ ตอนรับตำแหน่งใหม่ ๆ นายเรืองไกร มีที่ดิน 10 แปลง (ถือกรรมสิทธิ์ร่วม 3 คน) เนื้อที่ รวม 27-1-76 ไร่ อยู่ใน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ และคู่สมรสมีที่ดิน 4 แปลง เนื้อที่ 1-3-91 ไร่ และถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันกับคู่สมรส 1 แปลง เนื้อที่ 1-1-33 ไร่
และเมื่อตอนพ้นตำแหน่ง นายเรืองไกรมีที่ดิน 10 แปลง (ถือกรรมสิทธิ์ร่วม 3 คน) เนื้อที่ รวม 27-1-76 ไร่ อยู่ใน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ คู่สมรสมีที่ดิน 4 แปลง มีเนื้อที่ 3-1-99 ไร่ และไม่เปลี่ยนแปลงตอนพ้นตำแหน่งครบ 1 ปี แต่พบว่า นางอโนทัยได้ปลูกบ้านใหม่ ราคา 17 ล้านบาท (นางอโนทัยเป็นหุ้นส่วน บริษัท ไพร์ซวอเตอร์เฮ้าส์ คูเปอร์ส เอบีเอเอส จำกัด)
ดังนั้น เมื่อดูจากรายการทรัพย์สินทั้งหมด พอจะเห็นในภาพรวมว่า นายเรืองไกร จนลง แต่ภรรยารวยขึ้นเกือบ 60 ล้านบาท ซึ่งการเพิ่ม และลดลงของทรัพย์สินดังกล่าวเป็นตัวเลขที่มีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร ทำให้หลายฝ่ายจับตามองว่า นี่อาจเป็นการโยกย้ายทรัพย์สิน เนื่องจากมีนัยแอบแฝงอะไรหรือไม่
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก