ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ครอบครัวข่าว 3
เผยโฉมผู้ต้องสงสัย เหตุคาร์บอมบ์ กลางตลาดสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ด้านตำรวจแกะรอยจากกล้องวงจรปิด บอกมีคนร้าย 2 กลุ่ม เมื่อเห็นตำรวจผ่านมา กดระเบิดทันที
สืบเนื่องจากกรณีที่คนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวน ลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ บริเวณตลาดสดหลังโรงแรมเกนติ้ง ต.สุไหงโก-ลก อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส แรงระเบิดส่งผลให้เกิดไฟลุกไหม้อาคาร บ้านเรือน และร้านค้าของประชาชนอย่างรวดเร็ว เหตุเกิดขณะที่มีประชาชนออกมาจับจ่ายซื้อสินค้ากันเป็นจำนวนมาก ทำให้ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บแล้วหลายราย และยังติดอยู่ในอาคารอีกจำนวนมาก เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด วานนี้ (22 กรกฎาคม) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แกะรอยกล้องวงจรปิด พร้อมเล่าถึงเหตุการณ์ที่บันทึกได้ว่า จากกล้องวงจรปิดจะเห็นคนร้านจำนวน 2 ชุด โดยชุดแรกมี 2 คน ขับขี่จักรยานยนต์เพื่อดูลาดเลา จากนั้นก็มีคนร้ายอีก 1 คน ขับรถกระบะที่ซุกระเบิดไว้ในถังแก๊สหุงต้มหนัก 50 กรัม มาจอดที่หน้า บริษัท โปรคอมพิวเตอร์แอนด์โอเอ ไทยแลนด์ จำกัด จากนั้นกลุ่มคนร้ายอีกกลุ่มหนึ่ง แฝงตัวอยู่ในตลาด เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินผ่านมา ก็ได้ใช้เครื่องมือสื่อสารกดระเบิด
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจ เปิดเผยว่า จากภาพดังกล่าว จะเห็นได้ว่า เป็นการก่อเหตุในลักษณะเดียวกันกับวันที่ 16 กันยายนปีที่แล้ว ซึ่งขณะนี้ได้เบาะแสเกี่ยวกับกลุ่มคนร้าย 5 คน ที่คิดว่าเป็นกลุ่มเดียวกันกับการก่อเหตุในครั้งนี้ ได้แก่
1. นายนัสรี มือลี
2. นายมูฮำหมัดสักรี ไซซิง
3.นายบูดีมาน มะสาและ
4.นายอับดุลอาซิ มะแซ
5.นายอาแว ยา
ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้แจกจ่ายภาพถ่าย รวมทั้งประวัติของบุคคลทั้ง 5 ให้กับสายข่าวของทางราชการ เพื่อติดตามเบาะแสและพฤติกรรมของคนร้ายอีกทางหนึ่ง เชื่อว่าบางคนยังหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านของสมาชิกแนวร่วมพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในจังหวัดนราธิวาส และบางคนอาจจะหลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เรียกประชุมสารวัตรประจำสถานีทั้ง 19 สถานี เพื่อรับทราบถึงความคืบหน้า และวางมาตรการป้องกันเหตุที่เกิดขึ้น แต่ไม่อนุญาตให้สื่อทุกแขนงเข้ารับฟัง เนื่องจากเป็นการป้องกันไม่ให้กลุ่มคนร้ายไหวตัวในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีกำลังรวมรวบพยานหลักฐาน
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น นายเจริญชัย อุดมเลิศสกุล เจ้าของบริษัท โปรคอมพิวเตอร์ แอนด์โอเอ ไทยแลนด์ จำกัด อายุ 74 ปี ผู้ได้รับบาดเจ็บ ได้กล่าวว่า เหตุดังกล่าวทำให้ชีวิตของตนสูญเสียเป็นอย่างมาก ทรัพย์สินเสียหายนับร้อยล้าน อีกทั้งบริษัทตนไม่มีประกันอะไร ถ้าหากรัฐบาลเยียวยาไม่เพียงพอ บริษัทนี้คงต้องปิดกิจการ
อย่างไรก็ดี จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทางการมาเลเซียได้ลงข่าวและประกาศเตือนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ จ.นราธิวาส ให้ระวังตัว เนื่องจากระยะหลังเกิดเหตุทำนองนี้ ที่ จ.นราธิวาส บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่มีคำสั่งห้ามเดินทางมาประเทศไทยแต่อย่างใด
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
