เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โต้ ศอฉ. เข้ากระชับพื้นที่ ไม่เกี่ยวกับคดี นายพัน คำกอง เสียชีวิตเพราะฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมสวนกลับฝ่ายตรงข้าม ชอบชี้นำ แถมยังขยายผลหาเรื่องจับผิด
เมื่อเวลา 15.35 น. ของวานนี้ (17 กันยานยน) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงผลสรุปของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงแห่งชาติ (คอป.) เกี่ยวกับเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง ในปี 2553 ว่า ขอดูรายงานฉบับสมบูรณ์ก่อนจึงจะให้ความเห็นได้ แต่อยากให้ทุกฝ่ายเห็นถึงความตั้งใจของ คอป. ที่มีข้อเสนอแนะไปยังฝ่ายต่าง ๆ ถ้าทุกฝ่ายตระหนัก และมาร่วมค้นหาแนวทางการปรองดองก็จะเป็นเรื่องดี
เมื่อถามว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไม่มีชายชุดดำ และสิ่งที่ คอป. ตรวจสอบไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนต้องยึดไว้เป็นข้อมูล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในส่วนของพนักงานสอบสวนก็ควรนำข้อค้นพบต่าง ๆ ของ คอป. ไปใช้ในสำนวนคดี จะละเลยไม่ได้ ถ้าละเลยก็เหมือนกับจงใจละเว้น
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ศาลอาญาตัดสินการเสียชีวิต ของนายพัน คำกอง มาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ว่า ทราบข่าวแล้ว แต่ยังไม่เห็นคำสั่งศาลฉบับเต็ม ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม หลังจากนี้ก็ต้องส่งไปที่พนักงานอัยการ และพนักงานสอบสวน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ รับลูกจะดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ฐานพยายามฆ่า นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนจะดูว่าการใช้อำนาจของฝ่ายต่าง ๆ เป็นไปตามกระบวนการแค่ไหน ส่วนที่จะมีการโยงว่าเป็นคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) นั้น ศาลก็ได้บอกแล้วว่า คำสั่งของ ศอฉ. เป็นการสั่งให้เข้าควบคุมพื้นที่ ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับการที่สั่งให้ไปฆ่าคน หรือทำให้เกิดความสูญเสีย ซึ่งเป็นหน้าที่ของอัยการ และพนักงานสอบสวน ที่ต้องชี้ชัดในเรื่องนี้
เมื่อถามว่า นายธาริต ระบุจะนำคดีนี้มาเป็นบรรทัดฐานในการตั้งเป็นคดีฆาตกรรม และจะเรียกคดีอีก 35 คดีที่จะเข้าสู่การไต่สวนเป็นคดีฆาตกรรม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แต่ละคดีจะนำมาโยงกันไม่ได้ เพราะแต่ละเหตุการณ์มีรายละเอียดแตกต่างกัน ตอนนี้นายธาริตแค่พูดในสิ่งที่นักการเมืองฝ่ายนู้นเคยพูดมาก่อน ซึ่งตนก็ข้องใจว่าเป็นการชี้นำหรือไม่ และมีความเป็นธรรมแค่ไหน ซึ่งคาดว่ากลุ่มที่มีผลประโยชน์ทางการเมืองน่าจะนำเรื่องนี้ไปขยายผล และจะกลายเป็นว่าเราไม่พยายามค้นหาความจริงที่นำไปสู่การปรองดอง แต่พยายามสร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้ง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก