เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
ศาลรัฐธรรมนูญวางกรอบพิจารณาคดี จีทูจี ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่ตุลาการประจำคดีรับคำร้อง ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนนโยบายรับจำนำข้าว ยันทุกภาคส่วนท้วงติงเพื่อชาติ ไม่เอี่ยวเรื่องการเมือง
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าโฆษกสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีคำร้อง 67 ส.ว. เข้าชื่อยื่นเรื่องผ่านประธานวุฒิสภา เพื่อส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความสัญญาซื้อขายในโครงการรับจำนำข้าวแบบ สัญญารัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าข่ายรัฐธรรมนูญมาตรา 190 หรือไม่ว่า วันนี้ (24 ตุลาคม) มีวาระการประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญประจำสัปดาห์ แต่ยังไม่มีการนำวาระคำร้องเรื่องดังกล่าวมาพิจารณา เนื่องจากคำร้องเพิ่งเข้าสู่ระบบสำนักคดีศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา
นายพิมล กล่าวต่อว่า ตนยังไม่ทราบว่าคำร้องดังกล่าว ตุลาการประจำคดีชุดใดเป็นผู้ที่รับผิดชอบ และตุลาการประจำคดีที่รับผิดชอบได้คำร้องครบทุกท่านแล้วหรือยัง อย่างไรก็ตาม ในการประชุมวันนี้ คาดว่าจะทราบกำหนดกรอบวาระว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาคดีกี่วัน โดยเบื้องต้นกำหนดกรอบเวลาการพิจารณาภายใน 15 วัน นับจากตุลาการประจำคดีรับคำร้องครบทุกท่านแล้ว
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเป็นห่วงกรณีที่รัฐบาลยังคงยืนยันที่จะไม่ทบทวนนโยบายรับจำนำข้าว ทั้ง ๆ ที่มีการท้วงติงจากหลายฝ่ายว่า โครงการนี้นอกจากความเสียหายโดยตรงจากการขาดทุนแล้ว ประเทศไทยอาจเสียโอกาสในการขายข้าวไปยังต่างประเทศด้วย ดังนั้น รัฐบาลควรทบทวนนโยบายนี้ใหม่ เพื่อนำเงินไปช่วยเกษตรกรให้มากขึ้นเป็นเท่าตัว แทนที่จะปล่อยให้เงินเหล่านี้ไปตกหล่นหรือรั่วไหลไปที่อื่น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้เป็นสิทธิของรัฐบาลว่าจะทบทวนนโยบายนี้หรือไม่ แต่รัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย และใจเราไม่อยากให้บ้านเมืองต้องเสียหายไปถึงจุดนั้น ความจริงการที่รัฐบาลอ้างอย่างเดียวว่าจำเป็นต้องทำโครงการเพื่อช่วยเกษตรกร ก็มีการเสนอทางออกว่าการช่วยเหลือสามารถทำได้มากกว่านี้โดยไม่ต้องใช้เงินมากมายขนาดนี้
ทั้งนี้ การจะนำไปสู่ความล่มสลายของเศรษฐกิจยังมีปัจจัยอีกหลายเรื่อง ดังนั้นรัฐบาลควรจะตัดสินใจจากปัญหาที่เกิดขึ้นจริงทันที ตัวเลขที่บอกว่าขาดทุนปีละ 1.5 แสนล้าน และการส่งออกที่หายไป 40% ซึ่งไม่ควรเสียหาย เพราะถ้าลองทำไปอีก 3-5 ปี ไม่ใช่วิธีการบริหารที่ดี
ส่วนกรณีที่นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ประเมินว่าหากยังเดินหน้าเช่นนี้ เศรษฐกิจไทยอาจล่มสลายภายใน 10 ปีนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทำไมต้องรอให้เดินไปถึงจุดนั้น รัฐบาลน่าจะทบทวนอย่างตรงไปตรงมา เพราะเรื่องนี้ไม่มีประเด็นการเมืองแอบแฝง ที่รัฐบาลเชื่อว่านโยบายประชานิยมจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศนั้น ขอให้ดูตัวอย่างโครงการรับจำนำข้าวที่หนี้สินเกษตรกรเพิ่มขึ้น ขณะที่การส่งออกก็ไม่เป็นไปตามเป้า นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องเร่งหาคำตอบให้กับเอสเอ็มอีที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบายขึ้นค่าแรง เพราะบริษัทเหล่านี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่ทางเศรษฐกิจที่จะได้รับกระทบจนเห็นผลในปีหน้า
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก