เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
ผู้บาดเจ็บเหยื่อสลายม็อบเตรียมแจ้งจับเพิ่ม มาร์ค-เทือก ข้อหาพยายามฆ่าล็อตสองอีก 20 คน
เมื่อวันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา นายคารม พลพรกลาง ทนายความแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า หลังจากผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ไปแล้ว ตนจะนําผู้ได้รับบาดเจ็บชุดที่ 2 ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อเมษายน - พฤษภาคม 2553 ประมาณ 20 คน เข้าพบ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อแจ้งดําเนินคดีข้อหาพยายามฆ่าเพิ่มเติมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และผอ.ศอฉ. โดยผู้บาดเจ็บกลุ่มนี้อยู่ร่วมในเหตุการณ์วันสลายการชุมนุม วันที่ 10 เมษายน 2553 จนได้รับบาดเจ็บสาหัส บางรายพิการไม่สามารถประกอบอาชีพต่อได้
นายวสุ สุริยะแก่นทราย อายุ 61 ปี อาชีพทํายาหม่องขาย กล่าวว่า ปัจจุบันร่างกายตนพิการ ต้องนั่งรถเข็นตลอดชีวิต ซึ่งเป็นผลจากการถูกเจ้าหน้าที่ตีศีรษะอย่างรุนแรง จนทำให้สมองซีกซ้ายได้รับการกระทบกระเทือน มีเลือดคั่งในสมอง ส่งผลให้แขนและขาขวาอ่อนแรงขยับไม่ได้ และไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ แม้เหตุการณ์ดังกล่าวจะผ่านมาเกือบ 3 ปีแล้ว แต่ตนก็ยังไม่เคยลืม ที่ผ่านมา ตนก็ให้ภรรยาพาไปร้องขอความเป็นธรรมตามหน่วยงานต่าง ๆ และล่าสุดจึงได้มาร้องเรียนกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อให้เอาผิดเพิ่มกับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ในฐานะผู้ออกคําสั่ง ข้อหาพยายามฆ่า
วันเดียวกันที่กระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ เปิดเผยความคืบหน้าการพิจารณาให้สัตยาบันเพื่อเป็นประเทศภาคีธรรมนูญกรุงโรมและการพิจารณาจัดทำคำประกาศรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือไอซีซี เพื่อให้เข้ามามีบทบาทพิจารณาคดีผู้เสียชีวิต 99 ราย จากการชุมนุมทางการเมืองปี 2553 ตามคำร้องเรียนของคนเสื้อแดงว่า ล่าสุดคณะกรรมการพิจารณาธรรมนูญศาลอาญาระหว่างประเทศ ที่ ครม. มีมติแต่งตั้งเมื่อ 19 มกราคม 2542 ได้มีการประชุมกันแล้ว แต่การพิจารณายังไม่แล้วเสร็จ โดยแบ่งการพิจารณาออกเป็น 2 เรื่อง ได้แก่ การให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรม และการจัดทำคำประกาศรับเขตอำนาจไอซีซี
นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการจัดทำคำประกาศรับเขตอำนาจไอซีซี ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีของคนเสื้อแดงนั้น มีประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา คือ คำประกาศถือเป็นสนธิสัญญาหรือไม่ หากเป็นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน ส่วนอีกประเด็นหนึ่ง คือ การพิจารณาข้อเท็จจริงว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยยังคงเดินหน้าต่อไปได้โดยมีประสิทธิภาพหรือไม่ เพราะทางไอซีซีจะเข้ามามีบทบาทได้ก็ต่อเมื่อพบว่ากระบวนการยุติธรรมไทย ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างแท้จริง
เท่าที่ตนได้รับฟังมาพบว่า ที่ประชุมดังกล่าวยังเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยยังเดินหน้าต่อไปได้ จึงจะขอคำยืนยันอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า คดีความทั้งหมดจะแล้วเสร็จเมื่อใด ไม่ใช่ปล่อยให้เดินไป 20-30 ปี เพราะนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพโดนหลายคดี ซึ่งหากผิดจริงอาจติดคุกกันคนละหลายร้อยปี
ส่วนการให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรมนั้น นายสุรพงษ์ เผยว่า เป็นประเด็นข้อกฎหมายโดยธรรมนูญกรุงโรมที่กำหนดว่า ให้ใช้ธรรมนูญบังคับแก่บุคคลทุกคนอย่างเสมอหน้ากันและไม่มีใครจะอ้างอำนาจหน้าที่ทางราชการโดยเฉพาะในฐานะประมุขแห่งรัฐมาคุ้มกันตนให้พ้นจากความรับผิดทางอาญา ซึ่งข้อกฎหมายดังกล่าว มีความขัดแย้งกับความคุ้มกันที่ให้ไว้ในมาตรา 8 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่กำหนดไว้ ให้องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้
อย่างไรก็ตาม คำว่า ประมุขของรัฐอื่น หมายถึง ประธานาธิบดี แต่ในประเทศไทยคำนี้ หมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องทางการเมือง จึงจำเป็นต้องหาความชัดเจนให้ได้เสียก่อน ดังนั้นตนเสนอว่า หากที่ประชุมมีข้อกังวลและข้อห่วงใยที่ยังติดค้างอยู่ ควรสรุปเป็นลายลักษณ์อักษรและส่งไปสอบถามกับทางไอซีซี
นายสุรพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ในการรับเขตอำนาจไอซีซี ตนต้องเสนอเข้า ครม. ก่อน เพราะการที่จะลงนามในหนังสือหรือข้อตกลงต่างประเทศ ไม่ใช่กระทรวงต่างประเทศลงนามได้คนเดียว วันนี้ตนถูกกล่าวหาว่าไม่กล้า ซึ่งมันไม่ใช่อย่างนั้น ทั้งนี้ขอยืนยันว่า ตนได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้หยุดเลย แต่ขอทำอะไรให้รอบคอบ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
