ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้
โรงพยาบาลลำพูน แจงกรณีทำคลอด ด.ช.เอื้ออังกูร ที่มีอาการพิการทางสมอง ยืนยันว่าเป็นการทำคลอดตามมาตรฐาน แต่มีปัญหาทางการแพทย์จริง ทั้งนี้ ได้พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้ว
สืบเนื่องจากกรณีที่คุณแม่รายหนึ่งไปทำคลอดที่โรงพยาบาลลำพูน โดยเชื่อว่าเกิดปัญหาขึ้นในระหว่างทำคลอด คือ มีพยาบาลฝึกหัดขึ้นไปกดทับ รวมทั้งพยายามให้ยาเร่งคลอด ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่น่าจะถึงกำหนดคลอด จนเป็นเหตุให้ ด.ช.เอื้ออังกูร เกิดศรี ผู้เป็นลูกชาย มีอาการพิการทางสมอง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งที่ผ่านมาทางครอบครัวได้ทำการฟ้องร้องโรงพยาบาลลำพูนแล้ว โดยศาลชั้นต้นได้ตัดสินยกฟ้อง และเมื่อทนายความยื่นอุทธรณ์ไม่ทันตามกำหนดเวลา คดีความดังกล่าวจึงสิ้นสุดลง ทั้งนี้ ทางครอบครัวได้ดูแล ด.ช.เอื้ออังกูร มาเป็นเวลากว่า 6 ปีแล้ว แต่ได้เริ่มมีความกังวลถึงอนาคตของลูกชาย จึงได้ร้องขอความช่วยเหลือผ่านสื่อมวลชนนั้น
ล่าสุด เมื่อวานนี้ (10 กุมภาพันธ์) นายธานี ลิ้มทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลำพูน และ นพ.สุธิต คุณประดิษฐ์ กลุ่มงานสูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลลำพูน แพทย์ผู้ทำคลอด ได้ออกมาแถลงข่าวถึงกรณีการทำคลอด ด.ช.เอื้ออังกูร โดยยืนยันว่า เป็นไปตามมาตรฐานของการทำคลอดทุกประการ แต่ยอมรับว่าการทำคลอดในครั้งนั้นมีเหตุขัดข้องทางการแพทย์ที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากขณะทำคลอด ด.ช.เอื้ออังกูร มีภาวะหัวใจเต้นช้า ดังนั้นทางแพทย์จึงต้องใช้เครื่องดูดสูญญากาศเพื่อช่วยเหลือ เนื่องจากปากมดลูกเปิดหมดแล้ว ซึ่ง ด.ช.เอื้ออังกูร ก็ได้คลอดออกมาภายในเวลาไม่เกิน 3 นาที
แต่จากนั้นคุณม่ของ ด.ช.เอื้ออังกูร กลับมีอาการช็อก เมื่อแพทย์สันนิษฐานว่ามีการเสียเลือดในช่องท้อง จึงให้การช่วยเหลือด้วยการผ่าตัด เพื่อยับยั้งจุดเสียเลือด และทันทีที่พบว่าสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากมดลูกฉีกขาด แพทย์จึงต้องทำการตัดมดลูกออกเพื่อให้แม่เด็กปลอดภัย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนั้นเป็นเหตุการณ์เร่งด่วนที่ต้องช่วยเหลือทั้งชีวิตของเด็ก และแม่ของเด็ก ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลได้พยายามเยียวยาช่วยเหลือ ด.ช.เอื้ออังกูร มาโดยตลอด ทั้งเรื่องเงิน และเรื่องการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และจากนี้ไปทางโรงพยาบาลก็พร้อมที่จะดูแล ด.ช.เอื้ออังกูร ต่อไป แม้คดีความจะสิ้นสุดไปนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ทีมแพทย์ที่ทำคลอด ด.ช.เอื้ออังกูร ได้แจ้งว่า จากการตรวจครรภ์พบว่า เด็กอยู่ในแนวขวางจึงต้องทำการเร่งคลอดโดยใช้อุปกรณ์สูญญากาศที่ได้มาตรฐานมาช่วยเหลือ ซึ่งขณะนั้นทีมแทพย์ได้มีการเช็กความดัน และเช็กอัตราการเต้นของหัวใจเด็กตลอดเวลา แต่เมื่อไม่มีเสียงหัวใจเต้น ทันทีที่เด็กคลอด และพบว่าเด็กหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว แพทย์จึงพยายามปั๊มหัวใจจนเด็กฟื้นกลับมาได้อีกครั้ง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก