วอร์เรน บัฟเฟต จับมือบริษัทบราซิลซื้อกิจการซอสมะเขือเทศ ไฮนซ์

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณรูปภาพประกอบจาก hedgefundsx.com

          วอร์เรน บัฟเฟต จับมือบริษัทบราซิลเข้าซื้อกิจการของบริษัท ไฮนซ์ ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมอาหารของสหรัฐฯ ด้วยมูลค่ากว่า 28 พันล้านดอลลารสหรัฐ

          วันที่ 15 กุมภาพันธ์ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า บริษัท เบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ ของ วอร์เรน บัฟเฟต อภิมหาเศรษฐีชื่อดังชาวอเมริกัน และบริษัท ทรีจี แคปปิตอล ของบราซิล ประกาศร่วมกันเมื่อวันพฤหัสบดี ทั้งสองบริษัทได้จับมือกันเข้าซื้อกิจการของบริษัท ไฮนซ์ ผู้ผลิตซอสมะเขือเทศ และอาหารกระป๋องชื่อดัง ด้วยมูลค่าถึง 28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8.68 แสนล้านบาท ) นับเป็นการซื้อขายที่ราคาแพงที่สุดที่เคยมีมาในภาคอุตสาหกรรมอาหาร
          โดย บัฟเฟตให้สัมภาษณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ ซีเอ็นบีซี ว่า ข้อตกลงดังกล่าวมาจากแนวคิดของนายฮอร์เก้ เปาโล เลมันน์ ผู้ก่อตั้ง ทรีจี แคปปิตอล ซึ่งทั้งตนและเลมันน์มองว่า ไฮนซ์เป็นบริษัทที่มีมาตรฐานสูงด้านการบริหารที่เป็นระเบียบแบบแผนมานานกว่า 144 ปี มีแนวโน้มในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือรสชาติของผลิตภัณฑ์ภายใต้ยี่ห้อ ไฮนซ์ ล้วนมีรสชาติดีถูกปากผู้บริโภคทั่วโลก ทำให้เบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ และทรีจี แคปปิตอล ไม่ลังเลที่จะเข้าเจรจาเพื่อขอซื้อกิจการทั้งนี้ ทั้งสองบริษัทจะเข้าบริหารไฮนซ์คนละครึ่ง โดยทรีจี แคปปิตอลจะดูแลในส่วนของการบริหาร
          อย่างไรก็ดี ผลจากการซื้อกิจการดังกล่าว ทำให้ราคาหุ้นของไฮนซ์ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กพุ่งขึ้นถึง 17 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว มาปิดที่ 72.50 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2,247.50 บาท ) ขณะที่ราคาหุ้นของเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ เพิ่มขึ้น 1.3 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 99.21 ดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 3,075.51 บาท )

          ด้านนายวิลเลียม จอห์นสัน ประธานและซีอีโอ บริษัทไฮนซ์ กล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของบริษัท โดยจะเป็นการช่วยขยายฐานไปทั่วโลก จากเดิมที่เป็นยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ อยู่แล้ว สำหรับฐานการผลิตจะยังคงอยู่ที่เมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนียตามเดิม และจะยังคงความเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ต่อไป ด้วยยอดจำหน่ายทั่วโลกกว่า 11.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 3.6 แสนล้านบาท)


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก