เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก bellenews.com
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ เว็บไซต์การ์เดี้ยน รายงานว่า เกิดเหตุคนร้าย 8 ราย ปลอมตัวเป็นตำรวจสวมหน้ากากพร้อมอาวุธครบมือ เจาะรั้วสนามบินในเบลเยียม แล้วขับรถเข้าไปขโมยเพชรปล้นเพชรมูลค่ากว่า 30 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1.3 พันล้านบาท จากเครื่องบินที่กำลังเตรียมตัวบินไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งปฏิบัติการอันอุกอาจดังกล่าว ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีเท่านั้น
โดยปฏิบัติการขโมยโคตรเพชรที่อุกอาจที่สุดในรอบไม่กี่ปีครั้งนี้ เกิดขึ้นที่สนามบินกรุงบรัสเซลส์ ในเบลเยียม เวลาประมาณ 20.00 น. ของวันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น กลุ่มโจรได้พกอาวุธปืนกล และแต่งกายในชุดตำรวจ ขับรถตู้เมอร์เซเดส-เบนซ์ และรถยนต์อีกคันหนึ่ง บุกเข้ามาตรงช่องที่เจาะเอาไว้บริเวณรั้วรักษาความปลอดภัย และจากนั้น ก็ขับรถตรงไปยังเครื่องบินของสายการบิน เฮลเวติก แอร์เวย์ ซึ่งในขณะนั้น เจ้าหน้าที่ของหน่วยรักษาความปลอดภัยชั้นสูง ที่มาพร้อมกับรถขนสินค้าของบริษัท บริงค์ (Brinks) เพิ่งเสร็จสิ้นการขนถ่ายเพชรที่เตรียมส่งไปบนเครื่องบิน ซึ่งมีจุดหมายปลายทางที่เมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
จากนั้น กลุ่มโจรก็บุกขึ้นไปบนเครื่องบิน ควักปืนขู่นักบินและเจ้าหน้าที่บนเครื่อง ก่อนนำห่อพัสดุกว่า 120 ห่อ ขนถ่ายจากเครื่องลงไปยังรถยนต์ โดยไม่ได้ยิงปืนแม้แต่นัดเดียวหรือทำร้ายใครเลย แล้วหนีไปด้วยความรวดเร็วผ่านทางช่องตรงรั้วรักษาความปลอดภัยที่ทำเอาไว้ แล้วจากนั้น จึงมีคนพบว่า รถตู้ที่ใช้ก่อเหตุ ได้ถูกเผาเพื่อทำลายหลักฐาน ที่นอกกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม
นางอีน ฟาน วิวเมิร์ช โฆษกอัยการ กล่าวว่า กลุ่มโจรดังกล่าวได้เตรียมตัวมาแล้ว ตอนนั้นมีผู้โดยสารอยู่บนเครื่อง แต่ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทางอัยการ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับมูลค่าของพัสดุที่ถูกขโมยไป ซึ่งเชื่อว่า ในจำนวนพัสดุดังกล่าว มีเพชรที่ทั้งผ่านการเจียระไน และยังไม่ผ่านการเจียระไนอยู่ด้วย โดยที่เชื่อกันว่า จะมีการส่งเพชรนั้นไปให้กับผู้ดูแลในสวิตเซอร์แลนด์ต่อไป
ทั้งนี้ เพชรดังกล่าวได้ขนถ่ายมาจากเมือง แอนท์เวิร์บ ศูนย์กลางการค้าเพชรของโลก โดยคาดการณ์กันว่า มูลค่าของเพชรที่ถูกขโมยไปนั้น จะอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1.3 พันล้านบาท ซึ่งนางแคโรไลน์ เดอ วูลฟ์ กล่าวว่า เรากำลังพูดถึงเพชรจำนวนมหาศาล และไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นการปล้นเพชรครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยเจอมา