เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ได้มีโอกาสขับรถไปเที่ยวทางภาคเหนือ และได้โอกาสไปกราบนมัสการพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองลำปางมาตั้งแต่สมัยล้านนา
พระธาตุลำปางหลวงในวันนี้ แม้จะผ่านวันเวลามายาวนาน
แต่ความงดงามของศิลปะแบบล้านนาเก่าแก่ ยังคงปรากฏให้ผู้ศรัทธา
และนักท่องเที่ยวได้ชื่นชมไม่จืดจาง
ทั้งในส่วนขององค์พระธาตุที่ปิดด้วยทองจังโกทั้งองค์ วิหารหลวงแบบล้านนา กู่ปราสาท
ซุ้มประตูโขงอันงดงาม อีกทั้งยังมีซุ้มพระบาทที่สร้างครอบพระพุทธบาทไว้
ฐานก่อขึ้นเป็นชั้นคล้ายฐานเจดีย์ สร้างเมื่อ พ.ศ. 1992 ภายในมองเห็นแสงหักเห
ปรากฏเป็นเงาพระธาตุและพระวิหารในด้านมุมกลับ แต่มีข้อห้ามไม่ให้ผู้หญิงขึ้น
เงาพระธาตุที่ลอดผ่านรูผนังมาปรากฏบนผืนผ้าภายใน"วิหารพระพุทธ"
ที่ปรากฏเป็นเงาพระธาตุหัวตั้งให้ชมกันด้วยสีสันเหมือนจริง
ปัจจุบันภาพแม้เงาพระธาตุจะดูจืดจางลงไม่คมชัดเช่นเดิมเนื่องจาก
พฤติกรรมของมนุษย์บางจำพวกที่ซุกซนเห็นรูเป็นไม่ได้
ชอบเอานิ้วไปแหย่ไปจิ้มทำให้รูที่แสงส่องเข้ามากว้างขึ้นความคมชัด ของเงาที่เกิดขึ้นก็น้อยลงตามไปด้วยเช่นกัน
ประวัติวัดพระธาตุลำปางหลวง (ที่มา: วิกิพีเดีย)
ตามตำนานกล่าวถึงประวัติของวัดพระธาตุลำปางหลวงไว้ว่า
ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระเถระสามองค์ได้เสด็จจาริกไปตามบ้านเมืองต่าง
ๆ จนถึงบ้านลัมภะการีวัน (บ้านลำปางหลวง) พระพุทธเจ้าได้ประทับเหนือดอยม่อนน้อย มีชาวลัวะคนหนึ่งชื่อ ลัวะอ้ายกอน เกิดความเลื่อมใส ได้นำน้ำผึ้งบรรจุกระบอกไม้ป้างมะพร้าว
และมะตูมมาถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ฉันน้ำผึ้งแล้วทิ้งกระบอกไม้ป้างไปทางทิศเหนือ
แล้วทรงพยากรณ์ว่า สถานที่แห่งนี้ต่อไปจะมีชื่อว่า ลัมพกัปปะนคร แล้วได้ทรงลูบพระเศียรได้พระเกศามาหนึ่งเส้น
มอบให้แก่ลัวะอ้ายกอนผู้นั้น ลัวะอ้ายกอนได้นำพระเกศานั้น บรรจุในผอบทองคำ
และใส่ลงในอุโมงค์พร้อมกับถวาย แก้ว แหวน เงิน ทอง เป็นเครื่องบูชา
แล้วแต่งยนต์ผัด (ยนต์หมุน) รักษาไว้ และถมดินให้เรียบเสมอกัน แล้วก่อเป็นพระเจดีย์สูงเจ็ดศอกเหนืออุโมงค์นั้น
ในสมัยต่อมาก็ได้มีกษัตริย์เจ้าผู้ครองนครลำปางอีกหลายพระองค์ มาก่อสร้างและบูรณะซ่อมแซม
จนกระทั่งเป็นวัดที่มีความงามอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
Credit ภาพ: KRAINAM..follow me
by IG
Samsung Galaxy Camera