เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ไซเตส มีมติเอกฉันท์ให้ ไม้พะยูง ขึ้นบัญชี 2 อนุญาตให้ค้าขายได้ แต่ต้องควบคุมไม่ให้ลดปริมาณ พร้อมเชื่อ เป็นอีกกลไกหนึ่งที่ช่วยลดปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงในเขตป่าอนุรักษ์
วันนี้ (13 มีนาคม) ในเวทีการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่า และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 หรือ (CoP16) ที่ประชุมไซเตส ได้มีมติยอมรับไม้พะยูงขึ้นบัญชี 2 ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ โดยไม่ต้องใช้วิธีการโหวตแต่อย่างใด หลังจากที่ประเทศไทย ได้นำเสนอขอขึ้นบัญชีไม้พะยูง เข้าในบัญชี 2 ของไซเตส ซึ่งเป็นชนิดพันธุ์ที่อนุญาตให้ค้าได้ แต่ต้องควบคุมไม่ให้ลดปริมาณอย่างรวดเร็วจนถึงจุดใกล้จะสูญพันธุ์ เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา
โดย นายสุรวิช วรรณไกรโรจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพ สำหรับปรับปรุงพันธุ์ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานไม้พะยูง กล่าวว่า ถือว่าไทยประสบความสำเร็จในผลักดันไม้พะยูงเข้าบัญชี 2 ของไซเตส เนื่องจากไม้พะยูงอยู่ในภาวะวิกฤติมาก โดยตัวเลขล่าสุดเมื่อปี 2548 ที่คาดว่าจะมีไม้พะยูงในป่าสูงถึง 3 แสนต้น แต่ขณะนี้น่าจะเหลืออยู่เพียง 1 แสนต้นเท่านั้น หรือลดลง 2 ใน 3 หลังจากถูกแอบลักลอบตัดจากป่าอนุรักษ์ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากไม้พะยูงเป็นที่ต้องการของตลาดโลกมาก
และเดิมทีไม้พะยูงของไทยจัดอยู่ในบัญชี้ไม้หวงห้ามประเภท ก. ที่ไม่อนุญาตให้ค้าขายหรือส่งออกอยู่แล้ว แม้ว่าจะอนุญาตให้ตัดในพื้นที่กรรมสิทธิ์ได้แต่ไม่สามารถส่งออกไปขายได้ ดังนั้น หากยิ่งถูกควบคุมจากบัญชีไซเตส 2 จะช่วยควบคุมการค้าระหว่างประเทศ ทั้งจากประเทศต้นทาง และปลายทางที่ต้องมีใบอนุญาตมาแสดง เชื่อว่าน่าจะช่วยลดการลักลอบค้าไม้ชนิดนี้ไปได้มาก
ทั้งนี้ นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวเสริมว่า การขอขึ้นบัญชี 2 ไม้พะยูงครั้งนี้ เพื่อเน้นการอนุรักษ์จนกว่าจะพ้นภาวะวิกฤติ และจะยังไม่มีการอนุญาตให้ส่งออกไม้พะยูงอย่างแน่นอน เนื่องจากไทยไม่เคยอนุญาตส่งออกไม้พะยูงที่อยู่ในบัญชีไม้หวงห้ามประเภท ก.ของกฎหมายป่าไม้อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาไม้พะยูงถูกแอบตัดและลักลอบส่งออกอย่างผิดกฎหมาย และในเบื้องต้น ได้มีการเตรียมปลูกไม้พะยูงเพิ่ม เพื่อทดแทนไม้พะยูงที่ถูกลักลอบตัดออกไปจากพื้นป่า
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก