เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
กิตติรัตน์ แจง ไม่มีนโยบายขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หาเงินใช้หนี้กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ย้ำ ยังสามารถบริหารจัดการได้ มั่นใจ ปี 56 จัดเก็บรายได้เกินเป้าแน่
เมื่อวันที่ 1 เมษายน มีรายงานว่า สำนักงานเศรษฐกิจและกระทรวงการคลัง (สคค.) เตรียมเสนอปรับโครงสร้างภาษี เพื่อรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและหารายได้ให้กับภาครัฐ เพื่อใช้พัฒนาประเทศและชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท
โดย นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า การลงทุนในระบบคมนาคมขนส่งของประเทศ จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 1% ต่อปี และจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มเฉลี่ย 4 หมื่นล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ รัฐบาลประเมินไว้ว่า เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทนั้น จะชำระดอกเบี้ยในช่วง 10 ปีแรก และจะทยอยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย ตั้งแต่ปีที่ 11 เป็นต้นไป จนถึงปีที่ 50 จะชำระหนี้ครบทั้งหมด รวมทั้งสิ้น 5.16 ล้านล้านบาท ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย
นอกจากนี้ นายสมชัย ยังกล่าวอีกว่า จะมีการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล เหลือ 23% เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของเอกชนไทย ให้นำกำไรไปลงทุนต่อได้ ต่างชาติก็จะอยากมาลงทุนในไทยมากขึ้น ทำให้ฐานภาษีเงินได้นิติบุคคลก็จะกว้างขึ้น และทำรายได้มากขึ้นในระยะกลางและระยะยาว
ขณะที่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มีความชัดเจนว่าถึงจุดหนึ่งก็ต้องปรับเพิ่มขึ้น ถึงแม้ปัจจุบันจะต้องคงอัตราไว้ที่ 7% แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มดี และคนพร้อมจะเสียภาษีมากขึ้น ก็จะต้องปรับเพิ่มอัตราภาษีอีก 1% เพราะจะทำให้รายได้ของรัฐเพิ่มขึ้นอีก 5 หมื่นบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีจะไม่คงอยู่ที่ 7% ไปจนถึง 7 ปีอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เมื่อไปสอบถามเรื่องนี้จาก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กลับได้รับคำชี้แจงว่า กระทรวงการคลังไม่มีนโยบายจะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 7% เพราะไม่มีความจำเป็น เนื่องจากสภาพคล่องในระบบมีอยู่มาก การบริหารจัดการรายรับของประเทศยังไม่มีปัญหา ยังสามารถบริหารจัดการได้ และมั่นใจว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้ในปี 2556 ได้ตรงตามเป้าที่วางไว้ คือ 2.1 ล้านล้านบาท เพราะตอนนี้ตัวเลขการจัดเก็บภาษี 5 เดือนแรกของปีงบประมาณก็เกินเป้าหมายไปมากแล้ว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก