เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ เรื่องเล่า เช้านี้ สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
รพ.กรุงเทพ แถลงอาการน้องเอย ยังอยู่ในภาวะวิกฤติ พบภาวะการทำงานของอวัยวะล้มเหลว ก้านสมองไม่ตอบสนองแล้ว ด้านแม่น้องเอยทำใจ แม้ลูกไม่เหมือนเดิมก็อยากได้ลูกกลับคืน
วันนี้ (6 เมษายน) รพ.กรุงเทพ ออกแถลงการณ์อาการล่าสุดของ ด.ญ.มนัสนันท์ ทองภู่ หรือ น้องเอย อายุ 3 ปี นักเรียนชั้นเตรียมอนุบาล 1 โรงเรียนอนุบาลอนงค์เวท จ.สมุทรปราการ ที่มีอาการสมองบวมจากการขาดออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงสมอง หลังถูกลืมไว้บนรถโรงเรียน ว่า ในตอนนี้น้องเอยจำต้องได้รับยากระตุ้นในปริมาณมากเพื่อกระตุ้นการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต ขณะที่การทำงานของสมองและก้านสมองเริ่มลดลง ไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้น ทั้งยังพบภาวะการทำงานของอวัยวะล้มเหลว เช่น หัวใจ ตับ ไต และระบบประสาทส่วนกลาง อันเป็นผลสืบเนื่องจากการขาดออกซิเจนรุนแรงอีกด้วย สำหรับอาการโดยรวมยังอยู่ในภาวะวิกฤติ โดยทีมแพทย์ในห้องไอซียูยังคงทำการรักษาอย่างสุดความสามารถ และติดตามสัญญาณชีพจรอย่างใกล้ชิด โดยที่ยังคงงดเยี่ยมเช่นเดิม เนื่องจากแพทย์กลัวว่าน้องเอยจะเกิดการติดเชื้อ
ด้าน นางรัตนา นครโสภา มารดาของน้องเอย ที่อยู่ในอาการโศกเศร้า เผยว่า อาการของน้องเอยเริ่มทรุดลงตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากที่ยาลดอาการสมองบวมหมดฤทธิ์ลง สมองก็กลับมาบวมเช่นเดิม อีกทั้งตับก็เริ่มไม่ทำงาน ส่งผลให้เกิดความผิดปกติที่หัวใจและไตตามมาด้วย ทั้งนี้ ยอมรับว่าตนได้ทำใจไว้แล้วบางส่วน แต่ก็ยังหวังให้ลูกสาวกลับมา แม้ว่าจะไม่เหมือนเดิมก็ตาม
และสำหรับ นางอนงค์ คีรีวงษ์ ผอ.โรงเรียนที่อ้างว่าไม่สบายจนต้องขอเลื่อนนัดการสอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหาเป็นวันที่ 8 เมษายน ที่สถานีตำรวจภูธรบางปู นั้น แพทย์ได้ระบุว่า เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา ผอ.โรงเรียน ได้เดินทางมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้น้องเอยแล้วเดินทางกลับไปทันที โดยไม่ได้มีการพูดคุยกันแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ในส่วนของการรักษาพยาบาลน้องเอย ทางโรงเรียนเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด และได้เดินทางมาเยี่ยมน้องเอยที่โรงพยาบาลเป็นระยะ
เจาะข่าวเด่น...คุณแม่น้องเอย ไม่เชื่อ โรงเรียนเล่าความจริง
อาการสมองบวมของน้องเอยยังทรงตัว ด้านครอบครัวเชื่อโรงเรียนไม่ได้เล่าเรื่องจริงเพราะมีจุดที่ขัดแย้งหลายส่วน อยากให้ทุกฝ่ายมานั่งพูดคุยกัน เล่าความจริง และให้เรื่องนี้อุทาหรณ์แก่โรงเรียนเพื่อหาทางป้องกันเหตุในอนาคต
จากเหตุการณ์ที่ ด.ญ.มนัสนันท์ ทองภู่ หรือ น้องเอย อายุ 3 ปี นักเรียนชั้นเตรียมอนุบาล 1 โรงเรียนอนุบาลอนงค์เวท จ.สมุทรปราการ ถูกคุณครูพี่เลี้ยงลืมทิ้งไว้บนรถและตากแดดเป็นเวลานานหลายชั่วโมงจนขาดอากาศหายใจ เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้น้องเอยเกิดอาการสมองบวม และก้านสมองถูกกดทับ ซึ่งในตอนนี้น้องเอยได้เข้ารักษาตัวนอนดูอาการอยู่ในห้องไอซียู หออภิบาลผู้ป่วยหนัก 4 ที่รพ.กรุงเทพ โดยที่มีการติดป้ายงดเยี่ยมไว้หน้าห้องไอซียูนั้น
ล่าสุดวานนี้ (5 เมษายน) ทางรพ.กรุงเทพได้แถลงอาการของน้องเอย พบว่าตอนนี้น้องเอยมีอัตราการเต้นของหัวใจสัญญาณชีพปกติ แต่ยังต้องใช้เครื่องหายใจ ภาวะเลือดเป็นกรดในเลือดดีขึ้นแล้ว แต่การทำงานของเอนไซม์ในตับแย่ลง ส่วนอาการสมองบวมนั้นยังทรงตัว มีภาวะการทำงานของก้านสมองลดลง ทีมแพทย์ได้ติดเครื่อง EEG เพื่อดูการทำงานของเซลล์สมองเป็นระยะ สำหรับการผ่าตัดสมองนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับอาการโดยรวมและค่าการแข็งตัวของเลือดคนไข้ ในตอนนี้แพทย์ยังเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดแบบชั่วโมงต่อชั่วโมงอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากอาการยังไม่คงที่และเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และได้ให้ยาแก้บวมกับยากันชักเพื่อประคองอาการ
ขณะที่ นายเอกชัย ทองภู่ อายุ 35 ปี บิดาของน้องเอย ซึ่งคอยเฝ้ารอดูอาการของลูกสาวอย่างใกล้ชิด เปิดเผยว่า ในตอนนี้ทางครอบครัวก็ดูแลน้องอย่างใกล้ชิดและพูดคุยกับน้อง กระตุ้นน้องเอยตลอด และในตอนนี้สำหรับคนที่อยากเข้ามาให้กำลังใจน้องเอยนั้น สามารถเข้าไปให้กำลังใจในแฟนเพจเฟซบุ๊กของน้องเอยได้ แต่สำหรับการเข้ามาเยี่ยมในห้องไอซียูนั้นตนไม่อยากให้เข้ามา เนื่องจากเกรงว่าน้องเอยอาจจะติดเชื้อได้
และในช่วงเย็น รายการ เจาะข่าวเด่น ซึ่งออกอากาศสด ก็ได้เชิญ นางรัตนา นครโสภา อายุ 34 ปี คุณแม่ของน้องเอย และ นางประภา นครโสภา คุณยายของน้องเอย มาร่วมพูดคุยเปิดอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยที่ทั้งคู่ได้เล่าว่า ในเช้าวันที่ 3 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่เกิดเหตุนั้น ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนน้องเอยยังร่าเริงสดใส กระตือรือร้นอยากไปโรงเรียน และยังพูดคุยกับคุยแม่ทางโทรศัพท์อยู่เลย ทุกอย่างนั้นเป็นปกติมากและไม่คาดเลยว่าในช่วงบ่ายจะเกิดเหตุเช่นนี้
ด้านนางประภายืนยันว่าน้องเอยนั้นเป็นเด็กที่น่ารัก ร่าเริง และอยากไปโรงเรียน น้องไม่กลัวโรงเรียนเพราะฉะนั้นเรื่องที่น้องจะกลัวการไปโรงเรียนและขึ้นไปแอบบนรถนี่ไม่ใช่เรื่องจริงอย่างแน่นอน
จากนั้นนางรัตนาได้เล่าลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นว่า วันนั้นรถโรงเรียนไปถึงโรงเรียนในเวลา 09.45 น.ซึ่งทางคุณครูพี่เลี้ยงได้อ้างว่า น้องเอยร้องไห้งอแงและวิ่งขึ้นไปหยิบกระเป๋าที่ลืมไว้บนรถ ระหว่างนั้นคุณครูพี่เลี้ยงซึ่งกำลังดูแลเด็กอีกคนที่อาเจียนอยู่ ก็นึกว่าน้องเอยหยิบกระเป๋าและลงมาจากรถไปเข้าห้องเรียนเรียบร้อยแล้ว จึงปิดประตูรถโดยไม่ได้ตรวจสอบ ก่อนที่ครูอีกคนจะขับรถไปเก็บโดยที่ไม่ทราบว่าน้องอยู่บนรถ จนมาพบน้องอีกทีตอนเวลา 13.30 น. จึงรีบนำน้องส่งรพ.
ทว่า กว่าทางโรงเรียนจะโทรศัพท์มาแจ้งนางรัตนา ว่าลูกสาวอยู่ในห้องไอซียูก็เป็นเวลา 15.53 น. แล้ว แถมพอนางรัตนาพยายามถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องเอย ครูที่โทรศัพท์มาแจ้งก็ไม่ยอมบอกและโยนให้ครูพี่เลี้ยงเป็นคนเล่าให้ฟังเอง
เมื่อทราบเรื่องนางรัตนาก็รีบมาที่โรงพยาบาล ซึ่งสภาพของน้องเอยที่เห็นในตอนนั้นดูแย่มาก น้องเอยหน้าเขียวและมีอาการชักเกร็ง มือของน้องเอยถูกมัดไว้กับเหล็กที่กั้นเตียงและกระตุกตลอดเวลา ซึ่งแพทย์ได้บอกว่าอาการชักนั้นเกิดจากการที่สมองขาดออกซิเจน เมื่อน้องชักมาก ๆ ก็ทำให้สมองบวมจนไปกดทับก้านสมอง ทางแพทย์เองก็แนะนำให้นำน้องเอยส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลอื่น เพราะพิจารณาแล้วว่าน้องเอยอาการหนักถึงขั้นโคม่า ซึ่งทางโรงพยาบาลมีอุปกรณ์ไม่พร้อมที่จะรักษาน้อง
จากนั้นนางรัตนาพยายามคาดคั้นคุณครูที่อยู่หน้าห้องไอซียูว่าเกิดอะไรกับลูกสาว แต่คุณครูก็ยังไม่ยอมบอกอะไร จนกระทั่งเวลาเกือบ 20.00 น. ทางคณะครูจึงเพิ่งเข้ามาขอโทษและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง แต่โดยส่วนตัวแล้วนางรัตนาไม่เชื่อว่าเรื่องเป็นความจริง เพราะมีความขัดแย้งกันอยู่มาก เพราะการที่เด็กจะหายไปสักคนนั้นมันเป็นเรื่องผิดปกติ ทำไมพวกครูพี่เลี้ยงถึงไม่สงสัยเลยว่าน้องเอยหายไปไหน ตามปกติถ้าน้องหายไปสัก 10 - 15 นาทีก็ควรจะโทรแจ้งผู้ปกครองแล้ว ไม่ใช่รอจนคนขับรถมาเจอน้อง ซึ่งทางโรงเรียนก็อ้างว่า บนรถมีเด็กชื่อน้องเอย และน้องเนย วันนั้นน้องเนยไม่มาโรงเรียน ครูพี่เลี้ยงจึงจำสับสนและได้บอกกับคุณครูประจำชั้นว่าน้องเอยไม่มาโรงเรียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เพราะน้องเอยสนิทกับครูพี่เลี้ยงมาก ดังนั้นครูพี่เลี้ยงซึ่งไปรับน้องเอยมาจากบ้านกับมือจึงไม่น่าจะลืมได้
นอกจากนั้นสิ่งที่ทางครอบครัวยังติดใจสงสัยก็คือ ตกลงว่าในตอนที่เกิดเรื่องนั้นมันเป็นเวลาไหนกันแน่ และเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หากบอกว่าน้องร้องไห้งอแงและขึ้นไปบนรถจริง คนขับรถก็ควรจะรู้สึกตัว ส่วนที่บอกว่าน้องหลับอยู่บนรถนั้น จริง ๆ แล้วทุก ๆ ครั้งก่อนที่จะปิดประตูรถคุณครูพี่เลี้ยงก็สมควรที่จะต้องขึ้นไปตรวจสอบว่ามีสิ่งใดถูกทิ้งไว้ในรถบ้าง ซึ่งนี่คือความสะเพร่าของครูพี่เลี้ยงที่ไม่ได้ตรวจสอบว่ามีน้องอยู่บนรถหรือไม่
อีกประการหนึ่งคือ ทำไมเพิ่งมาแจ้งเรื่องกับผู้ปกครองตอนเวลาเอาตอน 15.53 น. เพราะจากสิ่งที่ครูพี่เลี้ยงชี้แจงกับตำรวจนั้นระบุว่า พบน้องอยู่ในรถตอน 13.30 น.และรีบนำส่งโรงพยาบาล แต่เมื่อตรวจสอบกับโรงพยาบาลก็พบว่าทางโรงเรียนเพิ่งจะนำน้องส่งโรงพยาบาลตอนเวลา 15.50 น. แล้วทำไมถึงไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องเอยตั้งแต่ตอนนั้น ถามไปก็ไร้คำตอบ โยนแต่จะให้คนอื่นพูดตลอด ตกลงว่าความจริงแล้วน้องเอยอยู่บนรถนานแค่ไหน และพบตัวน้องเอยเมื่อไหร่กันแน่
ส่วนเรื่องที่ น.ส.ดาวรอง ศรีสมุ้ง อายุ 37 ปี ครูพี่เลี้ยง นายสันติภาพ หวานใจ อาจารย์สอนคอมพิวเตอร์ ที่เป็นคนขับรถตู้ และนางอนงค์ คีรีวงษ์ อายุ 77 ปี ผู้ขออนุญาตจัดตั้งโรงเรียน ได้ให้ทนายติดต่อขอเลื่อนนัดการสอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหา กระทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส จากวันที่ 5 เมษายน มาเป็นวันที่ 8 เมษายน ตอนเวลาประมาณ 10.00 น. เนื่องจากไม่สบายและไม่พร้อมนั้น จริง ๆ แล้วทางครอบครัวอยากให้ทุกคนมานั่งคุยกัน มาพูดความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และมาแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นโดยมีการบันทึกคำพูดทุกอย่างไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งยังอยากให้มาพูดคุยว่าในเมื่อตอนนี้ได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ทางโรงเรียนจะทำการป้องกันอย่างไรต่อจากนี้
ด้าน นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ได้กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นทางโรงเรียนจะโยนความผิดให้ลูกน้องไม่ได้ เจ้าของโรงเรียนต้องรับผิดชอบด้วย อย่างไรก็ตามตอนนี้ได้โทรศัพท์พูดคุยกับ พล.ต.ต.ธัชชัย หงษ์ทอง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ ให้กำชับพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีให้ดำเนินการเรื่องนี้โดยละเอียด และให้ความเป็นธรรมแก่ครอบครัวของน้องเอยแล้ว
ขณะที่ พล.ต.ต.ธัชชัย ก็ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนประสานเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้ามาเก็บรายละเอียดในรถตู้คันเกิดเหตุเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมแล้ว เนื่องจากคำให้การของครูพี่เลี้ยงและยายของน้องเอย ให้การขัดกัน
ต่อมาช่วงค่ำของวันวานนี้ (5 เมษายน) ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประธานมูลนิธิมิราเคิลออฟไลฟ์ โปรดเกล้าฯ ให้ ผู้แทนพระองค์ประทานแจกันดอกไม้เยี่ยมน้องเอยที่ห้องไอซียู หออภิบาลผู้ป่วยหนัก 4 รพ.กรุงเทพ ยังความปลาบปลื้มให้แก่ครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง