x close

กรณ์ ซัด รัฐลุแก่อำนาจ หากปลดผู้ว่าฯ ธปท. ชาติเสียหายแน่

กรณ์ จาติกวณิช



                กรณ์ จาติกวณิช โพสต์เฟซบุ๊กระบุ หากปลดผู้ว่าฯ ธปท. เพราะสั่งไม่ได้ ชาติเสียหายและเป็นเรื่องแน่นอน ย้ำ ลดดอกเบี้ยตอนนี้ไม่ได้ อันตรายมาก

                เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Korn Chatikavanij  ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  โดย นายกรณ์ ระบุว่า ตนเคยคาดการณ์ไว้แล้วว่า รัฐบาลชุดนี้จะหยิบยกเรื่องการขาดทุนจากการถือดอลลาร์ที่ได้มาจากการขายเงินบาทมาโจมตีธนาคารแห่งประเทศไทยแน่นอน เพื่อจะทำลายความน่าเชื่อถือของผู้ว่าฯ ธปท. ทั้งที่จริง ๆ แล้ว เรื่องการขาดทุนนี้เกิดขึ้นสะสมมาหลายสมัย ตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้ง ในปี 2540 ดังนั้นจะมาโทษผู้ว่าฯ ธปท. คนปัจจุบันอย่างเดียวไม่ได้ 

                นายกรณ์ ยังระบุด้วยว่า การแทรกแซงค่าเงินบาทถือเป็นหน้าที่โดยตรงของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน หากไม่ทำอะไรเลย เอกชนและประเทศชาติจะเสียหายมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม การขาดทุนของ ธปท. เมื่อเทียบกับงบประมาณแผ่นดินปัจจุบันนั้น คิดเป็นเพียง 0.5% ของงบโดยรวมในแต่ละปีเท่านั้น หรือเท่ากับโครงการรถคันแรก แต่จะมีผู้ได้ประโยชน์มากกว่ามาก พร้อมกับระบุว่า รัฐบาลกำลังลุแก่อำนาจ และไม่ควรกล่าวโทษธนาคารแห่งประเทศไทย ดังเนื้อหาต่อไปนี้

                "อย่าลุแก่อำนาจ

                เมื่อประมาณ ๔-๕ เดือนก่อน ผมได้พบกับรองผู้ว่าฯ แบงก์ชาติท่านหนึ่งในงานศพ ผมได้บอกท่านว่า ผมมั่นใจว่ารัฐบาลนี้จะต้องกล่าวหาแบงก์ชาติต่อเนื่อง และช่องทางที่เขาจะใช้ก็คือการโจมตีเรื่องการ "ขาดทุน" จากการถือดอลลาร์ที่ได้มาจากการขายเงินบาท เพื่อบริหารไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเกินไป

                ผมกำชับไปด้วยว่าแบงก์ชาติต้องลงมาจากหอคอยงาช้างและอธิบายให้ประชาชนเข้าใจว่าการ "ขาดทุน" นั้น ข้อเท็จจริงเป็นเช่นใด เพราะรัฐบาลนี้เขาเก่งที่จะเอาความจริงมาครึ่งเดียวและขยายผลเพื่อโจมตีฝั่งตรงข้าม

                และเมื่อวานนี้เราเห็นภาพชัดแล้ว ว่าที่ผมและหลายคนคาดการณ์ไว้เป็นจริงทั้งหมด รวมถึงการยกตัวเลข "ขาดทุน ๑ ล้านล้าน" ขึ้นมาด้วยเป้าหมายที่จะทำลายความน่าเชื่อถือในตัวผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ

                ผมได้อ่านบทความที่อดีตรัฐมนตรีคลัง คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ได้เขียนในเฟซบุ๊กของท่านเมื่อวานนี้ ท่านได้ชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่มีตรรกะที่น่าคิดอยู่หลายข้อ เช่น การขาดทุนในบัญชีที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการที่เงินดอลลาร์ในมืออ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาท แต่ข้อเท็จจริงคือเงินดอลลาร์ของเราเป็นเงินสำรองที่สะสมมาตั้งแต่หลังวิกฤติปี ๒๕๔๐ โดยหลายผู้ว่าฯ จะมาโทษผู้ว่าคนปัจจุบันทั้งหมดได้อย่างไร

                และนอกจากนั้น การแทรกแซงในตลาดเงินก็เป็นหน้าที่โดยตรงของแบงก์ชาติ เพื่อรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อภาคธุรกิจจะได้ค้าขายได้ ถ้าแบงก์ชาติไม่ทำอะไรเลย เอกชนและประเทศชาติอาจจะเสียหายมากกว่านี้

                มีนักวิชาการอีกท่านหนึ่งคือ ดร.วีรไท สันติประภพ ได้เขียนบทความในเรื่องนี้ไว้ว่า เราควรเปรียบเทียบว่า การขาดทุนของแบงก์ชาตินั้นเมื่อเทียบกับงบประมาณแผ่นดินปัจจุบัน มีค่าเท่ากับเพียงประมาณ 0.5% ของงบโดยรวมในแต่ละปีเท่านั้น หรือเท่ากับโครงการรถคันแรก แต่ผู้ได้ประโยชน์อาจจะมากกว่าเยอะ

                นอกจากนั้นในประเด็นว่าแบงก์ชาติควรลดดอกเบี้ยนโยบายลงหรือไม่ ดร.วีรไท ก็ได้ชี้ให้เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวได้ปรับขึ้นแม้ตอนที่แบงก์ชาติได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ความหมายก็คือการลดดอกเบี้ยไม่ได้มีผลแต่อย่างใด และส่วนหนึ่งคุณธีระชัยเองก็ได้ชี้ให้เห็นว่า อาจเป็นเพราะรัฐบาลเองกู้เยอะ จึงทำให้มีพันธบัตรรองรับความต้องการของทุนต่างชาติมากขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยประเทศอื่นในเอเชียส่วนใหญ่ก็สูงกว่าของไทยอีกด้วย จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุที่ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า ที่เงินบาทแข็งนั้นเป็นเพราะดอกเบี้ยเราสูงจริงหรือ

                ที่ผมอยากจะเสริมก็คือ การลดดอกเบี้ยในช่วงที่รัฐบาลอัดฉีดเงินเข้าไปในเศรษฐกิจเต็มที่อย่างปัจจุบัน เป็นเรื่องที่อันตรายมาก โดยเฉพาะเมื่อการว่างงานเราตํ่ามาก และทั้งหุ้นทั้งอสังหาฯ เริ่มส่งสัญญาณที่ทำให้ต้องระมัดระวังเรื่องการก่อตัวฟองสบู่

                การดูแลค่าเงินประเทศอย่างเรามีข้อจำกัดค่อนข้างมาก แต่ผมมองว่าผู้ที่ทำได้มากที่สุดในเวลานี้คือกระทรวงคลัง ไม่ใช่แบงก์ชาติ ผมเคยเขียนไว้แล้วว่า นักเก็งกำไรวันนี้เขาไม่ได้กลัวการปรับลดดอกเบี้ย แต่เขากลัวมาตรการ "การสกัดทุน" (capital controls) มากกว่า และเครื่องมือทางภาษีอยู่ที่คลังหมด ผมเองก็เคยใช้มาแล้วในช่วงปี ๒๕๕๓ โดยก็ได้ปรึกษาแนวทางร่วมกันกับท่านผู้ว่าคนปัจจุบัน (จำได้ว่านั่งคุยกันอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมแห่งหนึ่งที่กรุงวอชิงตัน ก่อนเข้าประชุมธนาคารโลก) ครั้งนั้นก็เรียบร้อยและมีผลสำเร็จเป็นอย่างดี

                ดังนั้นกระทรวงคลังไม่ควรออกมากล่าวโทษแบงก์ชาติอย่างนี้ และ ดร.วีรไท ได้แนะนำด้วยว่ารัฐบาลเองก็ต้องทบทวนมาตรการต่าง ๆ ที่หวังผลกระตุ้นเศรษฐกิจจนเกินไป เพราะทั้งหมดมีผลต่อการดึงดูดเงินทุนต่างประเทศทั้งสิ้น

                ตอนนี้ศึกนี้ดูเหมือนกลายเป็นเรื่องทิฐิไปแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในการบริหารในระดับประเทศ ทุกฝ่ายต้องลดอัตตาและหันมาร่วมมือกันด้วยเหตุผลและความจริงใจครับ

                ถ้ารัฐบาลยังดื้อดึงจะปลดผู้ว่าฯ เพียงเพราะ "สั่งไม่ได้" ผมยืนยันว่าเสียหาย และเป็นเรื่องแน่นอนครับ"










เรื่องที่คุณอาจสนใจ
กรณ์ ซัด รัฐลุแก่อำนาจ หากปลดผู้ว่าฯ ธปท. ชาติเสียหายแน่ โพสต์เมื่อ 3 พฤษภาคม 2556 เวลา 13:56:29
TOP