เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Boonsong Teriyapirom
บุญทรง โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก Boonsong Teriyapirom ยันไร้ทุจริตจำนำข้าว แต่ยอมรับว่าในมีแรกมีขาดทุน 1แสน 3 หมื่นล้าน
เมื่อกลางดึกวันที่ 15 มิถุนายน 2556 นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โพสต์ข้อความลง เฟซบุ๊ก Boonsong Teriyapirom ยืนยันว่าโครงการนี้เป็นประโยชน์กับเกษตรกรชาวนาและเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริง แต่ก็ต้องขออภัยที่รัฐบาลชี้แจงข้อมูลน้อยเกินไป จึงทำให้เกิดความสับสนในสังคม พร้อมยืนยันโครงการดังกล่าวไร้ทุจริตจำนำข้าว แต่ยอมรับว่าในมีแรกมีขาดทุน 1แสน 3 หมื่นล้าน
สำหรับข้อความบน เฟซบุ๊ก Boonsong Teriyapirom มีใจความสำคัญดังนี้
"สวัสดีครับเพื่อน ๆ พี่ ๆ เฟซบุ๊กทุกท่าน
ก่อนอื่นผมต้องขอขอบพระคุณทุกความเห็นและความเป็นห่วงต่อตัวผมและโครงการรับจำนำข้าวที่กำลังเป็นที่สนใจติดตามของประชาชนและสื่อฯ ๆ ๆ ในขณะนี้ ต้องขอกราบเรียนยืนยันว่าโครงการนี้เป็นประโยชน์กับเกษตรกรชาวนาและเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริง แต่ก็ต้องขออภัยที่การชี้แจงมีน้อยจึงทำให้เกิดความสับสนมากในสาธารณะ
สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจก่อนเลยก็คือโครงการนี้ไม่ได้ทำให้ประเทศเสียหายมากถึง2แสน6หมื่นล้านต่อปีตามที่ฝ่ายค้านและอดีตรมต.คลังบางท่านตลอดจนนักวิชาการกล่าวหา(โดยอ้างอิงเอกสารของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ)อย่างแน่นอน เพราะหากจะยึดหลักฐานในเอกสารฉบับที่นำมาอ้างอิงก็จะพบตัวเลขขาดทุนเพียงแค่136896ล้านสำหรับการดำเนินการในปีแรก และประธานอนุฯก็ได้ชี้แจงยืนยันตัวเลขนี้ในที่ประชุม
ซึ่งก็หมายความว่าสิ่งที่กล่าวหาว่าโครงการสร้างความเสียหายปีละ2แสน6หมื่นล้านเป็นการโกหกต่อสังคมอย่างเลวร้ายที่สุด แม้นภายหลังทั้งฝ่ายการเมทองตรงข้ามและสื่อฯบางค่ายจะมีการพยายามอ้างเอาตัวเลขค่าใช้จ่ายอีกเดือนละ1หมื่นล้านมา บวกเพิ่มเพื่อจะให้ตัวเลขรวมเท่ากับที่อ้างไว้เดิม ก็ไม่พบอีกว่าในเอกสารนั้นระบุถึงค่าใช้จ่ายเดือนละ1หมื่นล้าน จึงสรุปได้เพียงอย่างเดียวว่าฝ่ายที่กล่าวหามีการยกเมฆตัวเลขมาเพียงเพื่อเอาประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น
ประเด็นต่อมาที่คลาดเคลื่อนและตรวจพบในรายละเอียดการปิดบัญชีก็คือ ตัวเลขปริมาณข้าวสารในสินค้าคงเหลือมีความคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงถึง 2.5 ล้านตัน ดังนั้นจึงมีผลทำให้การคำนวณต้นทุนสินค้าที่ขายสูงเกินความจริงไปประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
และประเด็นถัดมาคือ ข้าวที่รัฐบาลบริจาคช่วยเหลือประเทศอื่นที่ประสบภัยพิบัติธรรมชาติหรือข้าวที่รัฐบาลจำหน่ายในราคาถูกเพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชนในโครงการต่าง ๆ ตลอดจนข้าวที่ขายให้กับหน่วยงานของรัฐบาล เช่น กรมราชทัณฑ์ฯลฯ จะต้องถูกนำมาหักออกจากปริมาณสินค้าคงเหลือก่อน เพราะเหล่านี้เป็นปริมาณที่จะต้องได้รับการชดเชยจากงบประมาณเต็มจำนวนอยู่แล้ว จึงไม่ต้องนำมาคิดเป็นต้นทุนสินค้าที่ขาย
ผมอยากจะอธิบายเพิ่มเติมว่า สมมุติฐานของคณะอนุฯในการคำนวณตัวเลขสินค้าคงเหลือเพื่อนำไปคิดมูลค่านั้น เขาใช้ราคาสินค้าในตลาด ณ วันที่ทำการปิดบัญชีที่ตํ่าสุดมาเป็นฐาน ดังนั้นมูลค่าสินค้าคงเหลือจึงเป็นตัวเลขมูลค่าที่ตํ่าที่สุด ในอีกด้านหนึ่งคือหมายความว่าประมาณการการขาดทุนที่สูงที่สุดนั่นเอง โดยวัตถุประสงค์การทำงานของคณะอนุฯนี้ ก็เพื่อจะได้มีตัวเลขประมาณการเพื่อเตรียมของบประมาณจากรัฐบาลมาคืนให้แก่ ธกส. ในส่วนที่เป็นภาระซึ่งรัฐบาลต้องรับผิดชอบเฉกเช่นเดียวกับโครงการทำนองเดียวกันในรัฐบาลที่ผ่านๆมา
ดังนั้นหากจะยึดถือเอาข้อมูลของคณะอนุฯเป็นตัวเลขสุดท้าย ก็จะต้องมีการปรับปรุงข้อมูลที่ใช้คำนวณให้ตรงกับข้อเท็จจริงตามที่กล่าวมาในเรื่องปริมาณสินค้าคงเหลือเสียก่อน จึงจะเห็นตัวเลขที่เป็นการสะท้อนการประมาณการค่าใช้จ่ายที่ใกล้เคียงเป็นจริง
ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ เขาถือเอามูลค่าต้นทุนที่ได้มา เป็นฐานในการคำนวณมูลค่าสินค้าคงเหลือ และการคำนวณก็ใช้เฉพาะตัวเลขสินค้าที่ได้มีการส่งมอบและรับเงินแล้วมาคิดกำไร/ขาดทุน ดังนั้นจึงมีแนวคิดที่แตกต่างกัน และผลการคำนวณก็แตกต่างกัน ซึ่งในเรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์มีตัวเลขการขาดทุนเพียงแค่34845ล้านบาท โดยยังไม่รวมค่าดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายที่หน่วยงานอื่นตั้งงบประมาณไว้แล้วอีกราว 14000-15000ล้านบาทต่อปี (ซึ่งตัวเลขค่าใช้จ่ายที่ว่านี้อาจจะน้อยหรือมากกว่าที่ตั้งไว้ ก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการระบายข้าวในสต็อค)
ทั้งนี้จะมีการหาข้อยุติเรื่องนี้ในวันจันทร์ 17 นี้ ส่วนเรื่องความคุ้มค่าของโครงการนี้มีมากมาย ผมจะขอนำมาอธิบายเพิ่มเติมในวันพรุ่งนี้ (16 มิถุนายน 2556) ครับ"