เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก TwitterTOB
พนักงานธนาคารอิสลามฯ กว่า 1,400 คน สวมชุดดำประท้วง นายธานินทร์ อังสุวรังษี ผู้จัดการ จวกบริหารขาดทุนย่อยยับ ทำลายความเชื่อมั่นลูกค้า พร้อมยื่น 9 ข้อเรียกร้อง
วันนี้ (19 มิถุนายน 2556) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานธนาคารอิสลาม (ISLAMIC BANK OF THAILAND) หรือ ibank พร้อมใจกันแต่งชุดสีดำ เพื่อประท้วงการบริหารงานของ "นายธานินทร์ อังสุวรังษี" อดีตผู้บริหารบริษัท แคปิตอล โอเค บริษัทฯ ในเครือชินคอร์ปเก่า ซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยมีพนักงานร่วมลงชื่อประท้วงกว่า 1,400 คน ส่วนสาเหตุของการประท้วงระบุว่า เพื่อกอบกู้สถานการณ์ที่ตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ธนาคาร
ทั้งนี้ พนักงานธนาคารอิสลามฯ ได้ระบุว่า สถานภาพในปัจจุบันของธนาคารอิสลามฯ ตกต่ำถึงขีดสุด ทั้งในด้านผลประกอบการที่ลดลงร้อยละ 20 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2555 และมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มากที่สุดถึง 3.9 หมื่นล้านบาท อีกทั้งยังมีการขาดทุนสะสมมากกว่าทุน จนทำให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงติดลบถึงร้อยละ 14 โดยขาดทุนในเฉพาะช่วงเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2556 ประมาณ 7,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังทำลายชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อธนาคาร ส่งผลให้เกิดการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากไปถึง 2.9 หมื่นล้านบาทโดยประมาณ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2555 ทำให้ลูกค้าของธนาคารได้รับความเดือดร้อนและประสบปัญหาสภาพคล่องจากกระบวนการอนุมัติและเบิกจ่ายสินเชื่อที่ล่าช้า ส่วนทางด้านผู้ขายที่เป็นคู่ค้าของธนาคารก็ไม่ได้รับการเบิกจ่ายตามกำหนดระยะเวลา รวมไปถึงพนักงานขาดขวัญและกำลังใจในการทำงาน ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ กำลังจะส่งผลให้ธนาคารอันเป็นที่พึ่งของพี่น้องชาวมุสลิม ที่ก่อตั้งมาจากเงินภาษีของประชาชนกำลังล้มละลายทั้งในเชิงธุรกิจและชื่อเสียง
อย่างไรก็ตาม พนักงานธนาคารอิสลามฯ ทั้งหมด 1,400 รายชื่อ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหน้าที่ต้องปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ และสมบัติของประชาชน โดยเรียกร้องให้ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในองค์กรลงมาแก้ไขวิกฤติที่เกิดขึ้นดังกล่าว ด่วนที่สุด ดังนี้
1. ลดผลกระทบและการตกชั้นเป็นหนี้เสียของลูกค้า ด้วยการสั่งการให้ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องยกเลิกกระบวนการอนุมัติและเบิกจ่ายสินเชื่อที่ไม่เป็นไปตามข้อบังคับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ซึ่งกระบวนการอนุมัติและเบิกจ่ายสินเชื่อในปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงมิให้เป็นไปตามอำนาจวงเงินอนุมัติตามข้อบังคับธนาคารฯ โดยการสั่งการด้วยวาจาของกรรมการผู้จัดการและปรากฏประจักษ์พยานเป็นจำนวนมากถึงการสั่งการดังกล่าว ทำให้เกิดความล่าช้าต่อกระบวนการอนุมัติสินเชื่อเนื่องจากไม่เป็นไปตามชั้นอำนาจในการอนุมัติวงเงิน
นอกจากนี้ ยังการตั้งคณะทำงานย่อยเพื่อกลั่นกรองการเบิกจ่ายสินเชื่อ โดยไม่มีระเบียบรองรับที่ประกอบไปด้วยที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารกลุ่มงานปฏิบัติการสินเชื่อ และผู้บริหารกลุ่มงานกลั่นกรองสินเชื่อ ซึ่งการสั่งการที่ขัดกับข้อบังคับธนาคารฯ ฉบับที่ 15 ว่าด้วยการอนุมัติสินเชื่อ และข้อ 16 ว่าด้วยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของลูกค้าธุรกิจจนมีผลทำให้ลูกค้าจำนวนมากประสบปัญหาในทางธุรกิจจนไม่สามารถชำระหนี้ให้กับธนาคารได้ ดังปรากฏจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารได้เพิ่มขึ้นจาก 24,000 ล้านบาท ในเดือนพฤศจิกายน 2555 เป็นมากกว่า 38,000 ล้านบาท ในเดือนเมษายน 2556 อีกทั้งกระบวนการอนุมัติและเบิกจ่ายสินเชื่อที่ล่าช้าดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงในการให้บริการของธนาคารเป็นอย่างมาก
2. สั่งการให้ยกเลิกการรวบอำนาจการอนุมัติตามลำดับชั้นโดยกรรมการผู้จัดการธนาคาร ที่ขัดกับข้อบังคับธนาคารฯ ฉบับที่ 9 ว่าด้วยการพัสดุ รวมไปถึงการมอบอำนาจให้ผู้บริหารในระดับต่าง ๆ รวมไปถึงผู้จัดการสาขาในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกิจการของธนาคาร ซึ่งการสั่งการของกรรมการผู้จัดการธนาคาร ส่งผลให้การอนุมัติดำเนินการต่าง ๆ ได้เกิดความล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดความเสียหายต่อการดำเนินงานในการสั่งซื้อสั่งจ้างพัสดุหรือการดำเนินการที่มีความจำเป็นในหน่วยงานต่าง ๆ ของธนาคาร และสุ่มเสี่ยงต่อการถูกคู่ค้าของธนาคารฟ้องร้อง อันเนื่องมาจากการเบิกจ่ายเพื่อชำระเงินให้กับคู่ค้าของธนาคารมีความล่าช้า
3. สั่งการให้ยกเลิกการว่าจ้างคณะที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการ ทุกราย (โดยในปัจจุบันธนาคารมีค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการรวมมากกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน) เนื่องจากเป็นการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นของธนาคาร และเป็นการลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อนกับการทำงานของผู้บริหารสายงานหรือผู้บริหารกลุ่มงาน ซึ่งการมอบหมายให้คณะที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการทำหน้าที่กลั่นกรองเรื่องที่นำเสนอทำให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพดังที่ปรากฏจากประจักษ์พยานทั้งหลายในธนาคาร
อีกทั้งคณะที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการมิต้องรับผิดชอบใด ๆ ในกรณีที่ให้ความเห็นที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการทำงานของธนาคาร และอาจมีการแต่งตั้งให้ที่ปรึกษาบางรายเป็นรองประธานคณะอนุกรรมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งไม่มีข้อบังคับธนาคารที่รองรับอำนาจการลงมติของที่ปรึกษาดังกล่าว อีกทั้งการลงนามในสัญญาว่าจ้างบุคคลใดบุคคลหนึ่งให้ทำหน้าที่กรรมการผู้จัดการธนาคาร ย่อมแสดงถึงความสามารถของบุคคลนั้นในการบริหารงานธนาคารร่วมกับผู้บริหารธนาคาร แต่การจ้างที่ปรึกษาส่วนตัวในวงเงินถึง 1 ล้านบาทต่อเดือน เพื่อพิจารณากลั่นกรองงานให้กรรมการผู้จัดการนั้นมิได้แสดงถึงเหตุผลที่อันควรที่ธนาคารควรจะแบกรับภาระนี้ ทั้งที่เป็นหน้าที่และความสามารถของกรรมการผู้จัดการในการปฏิบัติหน้าที่อยู่แล้ว
4. สั่งการให้สอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีการสั่งกันสำรองเป็นเงินจำนวน 7,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ธนาคารขาดทุนจนทุนติดลบโดยไม่มีความจำเป็น โดยการกันเงินสำรองจำนวน 7,000 ล้านบาทในงบการเงินปี 2555 ดังกล่าว ได้ปรากฏอยู่ในงบการเงินที่ได้รับการรับรองโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน โดยมีหมายเหตุประกอบงบการเงินที่แสดงให้เห็นว่าการสั่งกันเงินสำรองดังกล่าวขาดซึ่งหลักการและเหตุผล เนื่องจากการกันเงินสำรองโดยทั่วไปนั้นจะคำนวณเงินกันสำรองจากสัดส่วนของสินเชื่อในแต่ละชั้นหนี้ ซึ่งผลประกอบการเดิมธนาคารขาดทุนอยู่ที่ 6,000 ล้านบาท แต่การสั่งเพิ่มการกันสำรองอีก 7,000 ล้านบาท จนทำให้ผลประกอบการโดยรวมขาดทุนถึง 13,000 ล้านบาท โดยอ้างคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ควรจะมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงถึงเหตุผลความจำเป็น และมูลค่าการกันสำรองที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ให้ความเห็นนั้นบางส่วนได้อยู่ในผลประกอบการที่ขาดทุน 6,000 ล้านบาท ซึ่งการกันสำรองอีก 7,000 ล้านบาทนั้น อาจจะเป็นการซ้ำซ้อนกันหรือไม่ ดังนั้นหากธนาคารไม่ต้องกันสำรองอีก 7,000 ล้านบาทจริง คณะทำงานสอบข้อเท็จจริงควรสรุปได้ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในกรณีดังกล่าว
5. สั่งการให้ตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีการออกข่าวในทางเสียหายต่อธนาคาร อีกทั้งการออกข่าวว่าธนาคารฯ มีหนี้เสียถึง 39,000 ล้านบาท ทั้งที่ในข้อเท็จจริง ณ เดือนมกราคม 2556 หรือขณะที่ออกข่าว ธนาคารมีหนี้เสียเพียง 24,000 ล้านบาท ซึ่งการที่สื่อมวลชนออกข่าวว่าธนาคารมีหนี้เสียถึง 39,000 ล้านบาท และเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงติดลบ ณ ขณะนั้น แท้จริงคือการออกข่าวเท็จ และได้สร้างความเสียหายให้กับธนาคารอย่างมาก โดยลูกค้าเงินฝากขาดความเชื่อมั่นในสถานะการเงินของธนาคาร ได้ทำการถอนเงินออกจากธนาคารมากกว่า 29,000 ล้านบาท จนต้องเสนอขอความช่วยเหลือเรื่อง Committed Line ในรูปแบบของเงินกู้ที่ผิดหลักชาริอะฮ์จากธนาคารออมสิน ทั้งนี้หากภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2556 ธนาคารไม่สามารถหาเงินฝากก้อนใหญ่มาอุดสภาพคล่องได้ ธนาคารจะไม่สามารถให้ลูกค้าเงินฝากเบิกเงินจากบัญชีได้ อีกทั้งธนาคารฯ มีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้องโดยลูกค้าที่ปรากฏชื่อบนสื่อ เนื่องจากได้รับความเสียหาย และเสื่อมเสียชื่อเสียง
6. สั่งการให้ตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริงกรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการแก้ไขชั้นหนี้ลูกค้าเบิกเกินวงเงิน (OD) หลายรายเพื่อปกปิดหนี้เสียกว่า 3,000 ล้านบาท ในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงยอดหนี้เสียรวมของธนาคารอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจสั่งการเพื่อแก้ไขสถานการณ์โดยคณะกรรมการธนาคาร ว่าเข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา 55 ของพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกระทำในการเปลี่ยนแปลง หรือตัดทอน หรือปลอมบัญชี หรือทำบัญชีไม่ตรงต่อความเป็นจริง ของธนาคาร และข้อบังคับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการทำงานและสวัสดิการของพนักงานและลูกจ้างธนาคาร พ.ศ. 2551 ข้อ 49.3.5 เรื่องการรายงานข้อมูลที่เป็นเท็จ หรือก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ผู้บังคับบัญชาหรือบุคคลที่มอบหมายให้รับทราบการปฏิบัติงานตามรายงานหรือข้อมูลนั้น หรือไม่ ทั้งนี้การตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริงในกรณีนี้จะทำให้เกิดความกระจ่างและทำให้เกิดความโปร่งใสในกระบวนการบริหารจัดการของธนาคาร
7. สั่งการให้ตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริงกรณีกล่าวหาว่ามีการเรียกรับสินบน ตามที่ บริษัท ท้าพิสูจน์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้มีการฟ้องร้องผู้บริหารของธนาคารต่อศาลอาญา เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2556 ว่ามีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร โดยในคำฟ้องของลูกค้ารายดังกล่าวได้กล่าวถึงการสั่งการให้ระงับการอนุมัติสินเชื่อของลูกค้าเพื่อเรียกรับผลประโยชน์ ดังนั้นการตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริงในกรณีนี้จะทำให้เกิดความกระจ่างและทำให้เกิดความโปร่งใสในกระบวนการบริหารจัดการของธนาคาร
8. สั่งการให้ตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริงกรณีมีการร้องเรียนเรื่องบริษัทที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการ เรียกรับผลประโยชน์จากการขายทรัพย์สินของลูกค้าเพื่อนำมาชำระหนี้ โดยการว่าจ้างบริษัทดังกล่าวเพื่อเข้ามาเป็นที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการธนาคารฯ ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับธนาคารฯ แต่ปรากฏว่ามีการร้องเรียนว่าบริษัทที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการธนาคารฯ ได้มีพฤติกรรมในการเรียกรับผลประโยชน์ อันเกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยได้เรียกค่านายหน้าในการขายทรัพย์สินของลูกค้าเพื่อชำระหนี้ ที่เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ของธนาคารฯ เป็นเงินร้อยละ 3 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ขายได้ รวมไปถึงการเปิดเผยข้อมูลแก่บริษัทที่ปรึกษาและที่ปรึกษาที่เป็นตัวบุคคลว่ากระทำผิดตามพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2545 มาตรา 46 ว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลต่อบุคคลอื่น หรือไม่ ดังนั้นการตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริงในกรณีนี้จะทำให้เกิดความกระจ่างและทำให้เกิดความโปร่งใสในกระบวนการบริหารจัดการของธนาคาร
9. สั่งการให้ตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริงในกรณีที่มีการปิดรับสมัครพนักงานในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจรายย่อย จำนวน 3 ตำแหน่ง เป็นการภายในก่อนเวลาที่กำหนดไว้ โดยในครั้งแรกบริหารทรัพยากรบุคคลได้กำหนดให้หมดเขตการรับสมัครในวันที่ 5 เมษายน 2556 แต่ภายหลังได้มีการประกาศให้ปิดรับสมัครทันทีในวันที่ 26 มีนาคม 2556 เวลา 17.02 น. และมีการเสนอวาระว่าจ้างบุคคลภายนอก 3 ราย ให้มาดำรงตำแหน่งดังกล่าวต่อคณะกรรมการธนาคาร ในวันที่ 27 มีนาคม 2556 จึงเป็นที่สงสัยในการดำเนินการดังกล่าวว่ามีการกระทำความผิดตามข้อบังคับธนาคารหรือกฎหมายอื่นใดที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ดังนั้นการตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริงในกรณีนี้จะทำให้เกิดความกระจ่างและทำให้เกิดความโปร่งใสในกระบวนการบริหารจัดการของธนาคาร
ท้ายนี้ พนักงานธนาคารอิสลามฯ ระบุว่า จากข้อเรียกร้องทั้ง 9 ข้อจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องผลกระทบต่อลูกค้าธนาคารในเรื่องสภาพคล่อง และจะเป็นการกอบกู้สถานภาพของธนาคารทั้งในด้านสถานะการเงิน ความน่าเชื่อถือ และชื่อเสียงของธนาคาร พร้อมระบุว่า พนักงานทุกคนใช้ความอดทนอดกลั้น และช่วยประคับประคองแก้ไขสถานการณ์ของธนาคารมาโดยตลอด แต่ก็ยังมีการให้ข่าวในทางเสียหายต่อธนาคารกับสื่อมวลชนและสร้างความแตกแยกในกลุ่มพนักงานมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งหากเหตุการณ์ยังเป็นอยู่เช่นนี้ ย่อมประสบปัญหาความเชื่อมั่นต่อพี่น้องประชาชน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
เฟซบุ๊ก TwitterTOB