เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยพีบีเอส
บริษัทเค วอเตอร์ ผู้ชนะการประมูล 2 โมดูลแผนจัดการน้ำของรัฐบาลไทย ถูก ผอ.สิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้ แฉ มีหนี้สูงกว่า 700% ไร้ประสบการณ์บริหารจัดการน้ำพื้นที่ขนาดใหญ่ เชื่อ ทำฟลัดเวย์ให้ไทยไม่ได้ ด้าน สบอช. โต้ข้อมูลมั่ว ยัน เค วอเตอร์ มีรัฐบาลเกาหลีถือหุ้น 100% สถานะการเงินดี ไม่เกี่ยว ทักษิณ
เกิดปัญหาติดขัดขึ้นในการดำเนินงานสร้างฟลัดเวย์เสียแล้ว เมื่อประเทศเกาหลีใต้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า บริษัท โคเรีย วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น (เค วอเตอร์) ที่เอาชนะการประมูลระบบฟลัดเวย์ และทำพื้นที่แก้มลิงในงบประมาณ 163,000 แสนล้านบาท ภายใต้โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทของรัฐบาลไทย กำลังประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก และไม่มีประสบการณ์พอที่จะบริหารจัดการโครงการใหญ่ขนาดนี้ ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ บริษัท โคเรีย วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น (เค วอเตอร์) มากขึ้น
โดยข้อมูลนี้ นายยัม ยุง โซ ผู้อำนวยการสมาพันธ์สิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้ เป็นผู้เปิดเผยเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2556 โดยระบุว่า ที่ผ่านมาเคยได้ติดตามการทำงานของ เค วอเตอร์ ในการทำฟลัดเวย์มาโดยตลอด และพบว่ามีความล่าช้ามาก โดยในการทำคลองระบายน้ำ ระยะทาง 18 กิโลเมตร ต้องใช้เวลาดำเนินการกว่า 10 ปี จึงจะแล้วเสร็จ และเมื่อประมูลโครงการทำฟลัดเวย์ขนาดใหญ่จากประเทศไทยได้ ก็เชื่อมั่นว่า เค วอเตอร์ ไม่น่าจะดำเนินการได้ เพราะที่ผ่านมาเคยแต่ก่อสร้างเขื่อนและระบบระบายน้ำในพื้นที่ขนาดเล็กเท่านั้น ไม่เคยมีประสบการณ์ในการบริหารพื้นที่กว่าล้านไร่เช่นนี้
นายยัม ยุง โซ ยังให้ข้อมูลต่อว่า ที่ผ่านมา เค วอเตอร์ เคยมีปัญหาเรื่องรับสินบน ขณะนี้มีหนี้ท่วมสูงขึ้นกว่า 700% และมักจะปกปิดข้อมูลในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่เป็นความลับ อีกทั้ง ยังไม่มีการจัดทำการประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน แต่กลับยังสามารถดำเนินโครงการได้ เพราะผู้บริหารของบริษัทมาจากนักการเมือง ซึ่งประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งตั้ง ดังนั้น การชนะการประมูล 2 โมดูล ในประเทศไทยนี้ ก็น่าตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลไทยกับรัฐบาลเกาหลีได้ทำข้อตกลง หรือเงื่อนไขพิเศษอะไรไว้หรือไม่ เพราะหากพิจารณาดูแล้ว เค วอเตอร์ ไม่มีศักยภาพพอที่จะดำเนินโครงการขนาดใหญ่ได้เลย
ด้าน นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ข้อมูลที่ นามยัม ยุง โซ เปิดเผยถือว่ามีประโยชน์อย่างมาก จึงขอถามทางรัฐบาลว่าทราบเรื่องนี้มาก่อนหรือไม่ และขอให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องที่ผู้อำนวยการสมาพันธ์สิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้ออกมาเปิดเผยนี้ ทางนายมณฑล ภาณุโภคิน กรรมการผู้จัดการ บริษัทเค วอเตอร์ ได้ออกมาชี้แจงในเวลาต่อมา โดยยืนยันว่า บริษัทเค วอเตอร์ มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการโครงการต่าง ๆ และเชื่อถือได้ ขณะเดียวกัน ทุกโครงการก็มีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนแล้ว สำหรับโครงการที่ประมูลได้นั้นก็จะเดินหน้าศึกษารายละเอียดทั้งหมด หลังจากเซ็นสัญญาแล้ว
ด้าน นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รักษาการเลขาธิการ สบอช. ได้ออกมายืนยันเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน โดยระบุว่า ข้อมูลที่ นายยัม ยุง โซ ผู้อำนวยการสมาพันธ์สิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้ ออกมากล่าวอ้างไม่เป็นความจริง โดย สบอช. ได้ตรวจสอบแล้วว่า บริษัท เค วอเตอร์ มีคุณสมบัติครบถ้วน คือ มีผลงานมูลค่าก่อสร้างไม่น้อยกว่า 3 หมื่นล้านบาท
ส่วนเรื่องความน่าเชื่อถือนั้น นายสุพจน์ ระบุว่า จากการตรวจสอบการจัดอันดับประกอบการ ก็พบว่า มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ จัดอันดับให้บริษัท เค วอเตอร์ ได้เครดิต A1 ส่วนสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส (S&P) ให้ในระดับ A มีทรัพย์สินประกอบธุรกิจกว่า 650,000 ล้านบาท มีรายได้ราว 176,000 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัท เค วอเตอร์ เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ มีรัฐบาลเกาหลีใต้ถือหุ้นอยู่ 100% และยังเป็นผู้ค้ำประกันด้วย ขณะที่สถานทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทยก็รับรองสถานภาพของ บริษัท เค วอเตอร์ด้วย ดังนั้น ข้อมูลนี้จึงยืนยันได้ว่า เค วอเตอร์ มีความน่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม นายสุพจน์ บอกว่า ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนักวิชาการเอ็นจีโอของเกาหลีใต้จึงออกมาให้ข้อมูลเช่นนี้ ซึ่งก็กำลังปรึกษาทีมกฎหมายว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะยืนยันว่า ขั้นตอนการคัดเลือกบริษัทของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย หรือ กบอ. มีความละเอียดรอบคอบ ทุกบริษัทสามารถตรวจสอบได้ และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีภาพถ่ายร่วมกับผู้บริหารของบริษัท เค วอเตอร์ ยืนยันว่าการคัดเลือกเป็นไปตามขั้นตอนและระเบียบที่วางไว้ ไม่มีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้อง
สำหรับ บริษัท โคเรีย วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น (เค วอเตอร์) เป็นหนึ่งในบริษัทที่ชนะการประมูลแผนงานในโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทของรัฐบาล (ภายหลังปรับเหลือ 2.91 แสนล้านบาท) ในแผนก่อสร้าง 2 โมดูลคือ โมดูล A3 การปรับปรุงพื้นที่เกษตรชลประทานในพื้นที่โครงการชลประทานเหนือ จ.นครสวรรค์ เพื่อเก็บกักน้ำหลากชั่วคราว และ โมดูล A5 การทำฟลัดเวย์ รวมงบประมาณ 1.63 แสนล้านบาท
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
