เสี่ยอู๊ด สิทธิกร เผยความนัย ใครอยู่เบื้องหลังการแฉ ฟิล์ม รัฐภูมิ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก   รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย

          ยังคงคาใจไม่หาย หลังจาก เสี่ยอู๊ด สิทธิกร บุญฉิม ออกมาเปิดใจในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย เทปที่ออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน 2556 แล้วทิ้งท้ายด้วยปริศนาเด็ดที่ว่า "ใคร" คือผู้อยู่เบื้องหลังการที่เขาออกมาแฉ "ฟิล์ม รัฐภูมิ" นักร้องชื่อดัง และยังมีความลับอีกหลาย ๆ เรื่อง ถ้าอย่างนั้น ลองไปฟังการเปิดใจกันต่อเลย จากรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา

          เมื่อพูดถึงชีวิตในเรือนจำ เสี่ยอู๊ด บอกว่าต้องเข้าใจก่อนว่า "เขาไม่ใช่นักโทษ" แม้จะเป็น 5 ปีที่ผ่านมา หรือตอนนี้ ก็ยังไม่ใช่นักโทษ เป็นเพียง "ผู้ต้องขัง" และถูกจองจำเป็นเวลา 5 ปี เพราะถ้าเป็นนักโทษจะต้องใช้คำนำหน้าว่า "น.ช." (นักโทษชาย) ชุดจะเป็นสีน้ำเงิน แต่ชุดของเขาไม่ใช่สีน้ำเงิน แต่เป็นชุดสีน้ำตาล คือชุดของผู้ต้องขัง เวลานอนก็นอนในห้องรวมปกติ ซึ่งคนจะเรียกห้องนี้ว่า "โรงแรม" เพราะเวลามีผู้ต้องขังคนอื่นไปขึ้นศาล แล้วกลับมาดึก เข้าแดนไม่ทัน ก็จะต้องมานอนที่ห้องนี้ บางคนที่มาพักชั่วคราวก็มีทั้งผู้ต้องหาคดีฆาตกรรม คดีอะไรมากมาย ก็ไม่ได้กลัวอะไร

          จากนั้น วู้ดดี้ ได้พาเสี่ยอู๊ดไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลศูนย์มะเร็ง จ.ลพบุรี ซึ่งที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่เสี่ยอู๊ดให้การสนับสนุน และบริจาคสิ่งของให้ทั้งหมด และทางโรงพยาบาลได้นำข้าวของมาเก็บไว้ในห้องประชุม "สิทธิกร บุญฉิม" และเสี่ยอู๊ด ก็ยังได้พูดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่เขารักมาก และทุกวันเขาก็เฝ้ารอให้ผู้ชายคนนั้นมาเยี่ยม จวบจนวันสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่ในคุก เขาก็ยังรอผู้ชายคนนั้น แต่กลับไม่ได้พบหน้ากันเลย

          "คนคนนี้เป็นคนที่ดีจริง ๆ ไม่เอาอะไรเลยทั้ง ๆ ที่จะเอาข้าวของได้มากที่สุด วันที่ก้าวขาออกไปบอกว่าจะไม่ทำงานกับผมแล้ว เขาคืนทุกอย่างให้หมด รถสปอร์ต 3 คันมาจอดเรียงไว้ ไม่เอาอะไรสักอย่าง คน ๆ นี้ไม่ดังมากหรอก แต่คุณเคยพูดถึงเขาในรายการเทปแรกแล้ว เด็กคนนี้เป็นทั้งลูก เป็นทั้งน้อง เป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้ผม เขาดีจริง ๆ" เสี่ยอู๊ด ย้ำ

          นักธุรกิจพระเครื่องคนดัง บอกว่า ตนรอคน ๆ นี้มาเยี่ยมโดยตลอด แม้แต่ช่วงที่ใกล้จะครบการถูกจองจำ ก็ยังให้คนไปบอกน้องคนนั้นว่าพี่อู๊ดอยากให้เขาทำหน้าที่คนดีให้สมบูรณ์แบบ อยากให้เขาดีเพอร์เฟคท์ที่สุด คิดว่าน้องน่าจะมาหา จนวันสุดท้ายก็ไม่มา เจอครั้งสุดท้ายตอนงานวันเกิด คำพูดสุดท้ายที่น้องเขาฝากคนอื่นมาพูดกับตนก็คือ "พี่ครับ เลิกอาชีพนี้เถอะ ผมว่าคนมันคิดร้ายต่อพี่เยอะมากเลย" แสดงให้เห็นว่าเขาหวังดีกับตนมาก คน ๆ นี้เป็นเบอร์ 1 ในตอนนั้น แต่ตอนนี้ความรู้สึกเอ็นดู รัก ไม่มีเหลือแล้ว เพราะเขาไม่มาเยี่ยม

          จากนั้น เสี่ยอู๊ด ก็เปิดใจถึงกรณีที่เคยแถลงข่าวถึง ฟิล์ม รัฐภูมิ นักร้องคนดังเมื่อ 5 ปีก่อน จนคนมองว่าการที่เสี่ยอู๊ดแถลงครั้งนั้น ทำให้ชีวิตของอีกฝ่ายพัง ว่า จริง ๆ วันนั้นตนบอกระงับการแถลงข่าวไปแล้ว แต่ "ซูเปอร์สตาร์คู่หูดูโอ" ที่นั่งอยู่กับตนในรถหลังจากไปงานสงกรานต์มาด้วยกัน บอกตนว่า "พี่ครับ ถ้าเป็นผม ทำอะไรต้องให้ถึงที่สุด" ตนก็เลยคิดว่าทำไมน้องคนนี้พูดแบบนี้ ตนก็เลยหันไปถามน้องอีกคนหนึ่งว่าคิดอย่างไร แล้วบอกด้วยว่า "คำตอบของน้องคือการตัดสินใจของพี่อู๊ดนะ" น้องคนนั้นจึงนั่งคิดสักพักก่อนจะบอกเหมือนกับคนแรกว่า "ถ้าเป็นเขา จะทำอะไรก็จะทำให้ถึงที่สุด" นั่นหมายความว่าถ้าตนคิดจะแถลงข่าวก็ต้องแถลง อย่ายกเลิก ตนก็เลยตัดสินใจโทรบอกนักข่าวจะกลับมาแถลงข่าว เพราะคนที่อยู่ในรถตู้สนับสนุนนั่นเอง

          "ผมไม่คิดว่าผิดหรือถูก แต่ผมคิดว่า ไม่น่าทำ ในวันนี้ ไม่น่าเชื่อว่า น้อง 2 คน จะทำแบบนี้ เพราะผมบอกกับน้อง 2 คนว่าจะใช้คำตอบของน้อง 2 คนนี้เป็นตัวตัดสินใจ ว่าจะพูดหรือไม่ ผมก็คิดว่าน้องคงจะห้าม แต่เขากลับสนับสนุน ทุกวันนี้ผมมานั่งนึกว่าผมพลาดไป เพราะผมนั่งรถอยู่ข้างหน้า แสดงว่าเขาคงจะสะกิดกันข้างหลังให้ตอบแบบนี้ อาจเป็นเพราะเกิดการแย่งซีนกันว่า คู่นี้เคยดังมาก่อน แล้วนี่จะมาดังกลบทำนองนี้ ทุกวันนี้ผมพึ่งมานั่งคิด ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะเรื่องของน้องคนนี้ไม่ใช่ที่สุดของผม ผมก็เลยไม่ตัดสินใจเอง แต่ถ้าเป็นเรื่องของน้องที่รักมากคนนั้น ผมก็จะตัดสินใจเอง"

          ในตอนท้าย วู้ดดี้ ได้ถามเสี่ยอู๊ดว่าหลังจากออกมาแล้วจะกลับเข้าวงการพระเครื่องหรือไม่? เสี่ยอู๊ด บอกว่า คำว่า "กลับ" แสดงว่าเขาต้องออกมา แต่นี่ไม่ใช่ เขาไม่ได้ออกมา ต้องถามว่ายังจะอยู่ในธุรกิจพระเครื่องต่อไปหรือไม่ แล้วถ้าไม่ให้อยู่จะให้เขาไปไหนหรือ เพราะบริษัทตนก็ทำธุรกิจทางนี้มาอยู่แล้ว

          อย่างไรก็ตาม หลังจากสัมภาษณ์ เสี่ยอู๊ด ทางรายการวู้ดดี้ก็ได้พยายามติดต่อขอสัมภาษณ์บุคคลอื่น ๆ ที่เสี่ยอู๊ดกล่าวถึงในรายการ แต่ทว่า ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ขอพูดถึงเรื่องนี้ และไม่ขอให้สัมภาษณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น