x close

หมอเส็ง เล่าบทเรียนชีวิต ก่อนพลิกเป็นมหาเศรษฐี ในตีสิบ

หมอเส็ง

หมอเส็ง

หมอเส็ง


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการ ตีสิบ โพสต์โดยคุณ prathom rojwanachai สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

           ได้ยินชื่อ "หมอเส็ง" เจ้าของผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรมาช้านาน หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า กว่าที่ "หมอเส็ง" จะกลายมาเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านอย่างในปัจจุบันนี้ได้นั้น ผู้ชายคนนี้ในอดีตมีหนี้สินรุงรัง อันเกิดจากความเจ้าชู้ และการลบหลู่เจ้าที่ รายการตีสิบจึงเชิญ "หมอเส็ง" มาเล่าถึงเส้นทางชีวิตที่มีสีสันให้เป็นบทเรียนกัน เมื่อคืนวันอังคารที่ 9 กรกฎาคม 2556

           ก่อนอื่น พูดถึงชื่อ "หมอเส็ง" ใคร ๆ ก็ต้องคิดว่านี่คือชื่อเล่นของ "คุณฉัตรชัย แสงสุริยะฉัตร" ประธานบริษัทแสงสุริยะฉัตร (2002) จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรหลายชนิด วัย 74 ปี แต่จริง ๆ แล้ว "หมอเส็ง" บอกว่า นี่คือชื่อของคุณพ่อของเขาที่เคยเปิดคลินิกหมอเส็งอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัด ใคร ๆ ก็รู้จักเป็นอย่างดี และเมื่อคุณพ่อเสียชีวิตไปแล้ว คนที่มารักษาก็ยังเรียกติดปากกันว่า "มาคลินิกหมอเส็ง" ทำให้เขาถูกเรียกว่าเป็น "หมอเส็ง" รุ่นที่ 2 ไปโดยปริยาย

           หมอเส็ง เล่าว่า ร้านของเขาขายทั้งยาจีน ยาไทย ยาสมุนไพร เพราะสมัยนั้นยังไม่มียาแผนปัจจุบัน ซึ่งเขาก็ถูกพ่อบังคับให้เรียนรู้เรื่องยาจีน ยาสมุนไพร มาตั้งแต่เล็ก ๆ กระทั่งโตขึ้น เขาก็นำความรู้นี้ไปสอบใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะจากกระทรวงสาธารณสุข และได้รับใบอนุญาตมา รวมทั้งยังได้รับใบอนุญาตอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดร้านยาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จนกลายมาเป็นแพทย์รักษาคนไข้มากมาย โดยรับช่วงต่อจากคุณพ่อ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังเรียนรู้เรื่องยาแผนปัจจุบันเพิ่มเติมด้วย เพราะช่วงนั้นยาสมัยใหม่เพิ่งจะเริ่มเข้ามาในเมืองไทย

           หลังจากได้เรียนรู้เรื่องยาแผนปัจจุบันแล้ว "หมอเส็ง" ก็ตัดสินใจเปิดร้านขายยา และด้วยความที่เป็นคนหัวการค้า เขาจึงยอมขายยาบางตัวในราคาขาดทุนให้กับลูกค้ารายใหญ่ เพื่อที่ลูกค้าจะได้ไม่ไปซื้อร้านอื่น ส่วนที่ขาดทุนไปเขาก็นำไปขึ้นราคาจากยาตัวอื่นแทน ทำให้ธุรกิจดำเนินไปได้ดี

           แต่ทว่า...ความฟุ้งเฟ้อ ความเป็นคนใจใหญ่ อยากมีหน้ามีตาของตัวเอง ทำให้เงินที่ได้จากการขายยาละลายน้ำไปจนหมด "หมอเส็ง" บอกว่า สมัยวัยรุ่น เขาใช้เงินไปกับการเที่ยวแสงสีเสียง ซื้อรถ ฯลฯ จนเงินเกลี้ยง เปิดร้านขายยาได้เพียง 7-8 ปี ร้านก็เริ่มอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ ติดหนี้มหาศาล กระทั่งเจ๊งในที่สุด

           จากนั้น "หมอเส็ง" ก็ตัดสินใจหนีหนี้ไปเปิดร้านขายยาอยู่ที่สัตหีบ สมัยนั้นมีทหารชาวต่างชาติเข้ามาอาศัยอยู่มาก เขาจึงขายยาได้กำไรดีอีกครั้ง จนกระทั่งวันสารทจีนในปีหนึ่ง ภรรยาของเขาก็มัวแต่วุ่นอยู่กับการไหว้เจ้า ทำให้เขาอารมณ์ไม่ดี เพราะไม่มีคนมาช่วยขายของ จึงเดินไปเตะของไหว้ และศาลเจ้าที่อย่างตั้งใจ เพราะเป็นคนที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้อยู่แล้ว

           แต่เชื่อไหมว่า ในคืนวันเดียวกันนั้นเอง หมอเส็ง กลับเห็นเงาประหลาดบางอย่างเหนือมุ้งแล้วเงาได้มาชี้หน้าด่าหมอเส็งว่า หมอเส็งมาลบหลู่เจ้าที่ จึงขอสาปแช่งให้ 15 ปีต่อจากนี้ไป จะทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ พบแต่ความฉิบหาย ซึ่งหมอเส็งได้ยินเต็มสองหู แต่เขาก็ไม่กลัว เพราะไม่เคยเชื่อเรื่องลี้ลับอะไรแบบนี้ แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน ร้านขายยาที่สัตหีบก็เจ๊ง เขาจึงต้องย้ายที่อยู่อีกครั้ง จนตัดสินใจมาเปิดร้านขายยาอยู่ที่สำโรง

           การเปิดร้านขายยาครั้งที่ 3 ที่สำโรงนี้ แม้จะขายดิบขายดีในช่วงแรก แต่หลัง ๆ ก็เจ๊งอีก เพราะได้เงินมาเท่าไรก็เอาไปเที่ยวคาเฟ่ อาบอบนวด อยู่คุยกับสาว ๆ ทั้งวันทั้งคืน ยิ่งได้กลับมาเป็นหมอรักษาคนไข้อีกครั้ง รายได้ก็ยิ่งเข้ามามาก ทำให้หมอเส็งยิ่งลืมตัว หมดเงินไปกับสาว ๆ ถึงคืนละ 3-4 หมื่นบาท คิด ๆ แล้วก็ตกเดือนละเป็นล้าน บางครั้งนักร้องขอรถยนต์ เขาก็โทรสั่งรถยนต์ให้มาส่งในคืนนั้นเลย และหมอเส็งคนนี้เองที่เป็นคนเริ่มต้นนำธนบัตรไปเย็บกับพวงมาลัยเพื่อคล้องคอให้นักร้อง เรียกได้ว่าเป็นนักเที่ยวตัวยงในสมัยนั้นเลยทีเดียว ถึงกระนั้น เขาก็เคยถูกนักร้องหลอกเอาเงิน แต่แม้จะถูกหลอก แต่เขาก็ยอมรับ เพราะรู้ดีว่าในวงการนี้ก็จะต้องมีคนแบบนี้อยู่แล้ว

           แต่แล้วในเวลาต่อมา ชีวิตของ "หมอเส็ง" ก็เริ่มล้มลุกคลุกคลาน เขาถูกฟ้องร้องในคดีเช็คหลายร้อยคดี ซึ่งในสมัยนั้นถือเป็นคดีอาญา แต่ "หมอเส็ง" ก็พยายามผัดผ่อนขอเวลา จนสามารถเคลียร์หนี้สินได้จนหมด แต่กว่าจะหลุดพ้นชีวิตหนี้ได้ เขาต้องเผชิญความลำบากอย่างมหาศาลเป็นเวลาเกือบ ๆ 15 ปีเท่ากับที่เจ้าที่เคยสาปแช่งเอาไว้

หมอเส็ง

หมอเส็ง


           หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ "หมอเส็ง" เชื่อว่าได้ชำระโทษให้ฟ้าดินไปแล้ว เขาก็กลับไปอยู่กับแม่ที่บ้าน ทำงานเป็นหมอรักษาคนไข้อย่างเดียว เลิกยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทุกอย่าง และคอยดูแลภรรยา ซึ่งที่ผ่านมาเขาเคยมีภรรยามาแล้ว 12 คน โดยมีทีละคน เพราะบางคนทนอยู่ด้วยไม่ได้ ก็เลิกกันไป เขาจึงค่อยมีคนใหม่ และปัจจุบันนี้ ภรรยาคนสุดท้องก็คือ คุณเล็ก นิภา แสงสุริยะฉัตร ซึ่งมีอายุต่างกับหมอเส็งถึง 30 ปี

           คุณเล็ก เล่าให้ฟังถึงการที่ได้รู้จักกับหมอเส็งว่า สมัยก่อนหมอเส็งชอบเล่นกอล์ฟ และจะมีแคดดี้ประจำตัวซึ่งแคดดี้คนนั้นอาศัยอยู่ที่บ้านตรงข้ามของคุณเล็ก เวลาจะนัดหมายให้มาช่วยถือถุงกอล์ฟ หมอเส็งก็จะโทรศัพท์มาที่บ้านของคุณเล็ก เพราะเป็นบ้านเดียวที่มีโทรศัพท์ใช้ในยุคนั้น ซึ่งการที่ได้ยินเสียงพูดเพราะ ๆ ทางโทรศัพท์นี่เองที่ทำให้หมอเส็งชอบ เลยนัดแนะกับแคดดี้ว่าให้พาเขามาดูตัวคุณเล็กหน่อย จนกระทั่งได้รู้จักกันในที่สุด

           หมอเส็ง บอกว่า เขาเป็นคนจีบสาวไม่เป็น ถ้าชอบก็จะชวนให้มาอยู่ด้วยกันเลย เขาจึงชวนคุณเล็กให้มาอยู่ด้วย แต่พี่สาวของคุณเล็กไม่อนุญาต เพราะเห็นว่ายังไม่รู้จักกันดี และยังมีอายุมากกว่ามาก หมอเส็งจึงต้องใช้เวลากว่า 1 ปีพิสูจน์ใจจนพี่สาวคุณเล็กอนุญาต ซึ่งคุณเล็กบอกว่า ชอบหมอเส็งตรงที่รอยยิ้มและแววตา ดูแล้วเป็นผู้ชายอบอุ่น และประทับใจในครั้งแรกที่หมอเส็งกอดเธอ ทำให้เธอสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับมาก่อนเลย

           ในตอนท้าย หมอเส็ง ก็ได้ฝากชีวิตของเขาให้เป็นบทเรียนสอนใจกับทุกคน โดยแนะนำว่าเวลามีเงินมีทองต้องประหยัดเอาไว้ อย่าใช้ไปกับความฟุ้งเฟ้อซึ่งเป็นของจอมปลอมทั้งหมด พร้อมกับย้ำด้วยว่าการเจ้าชู้ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย

           และนี่ก็คือประสบการณ์ชีวิตของอดีตหนุ่มเจ้าสำราญคนหนึ่งที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน จนเมื่อคิดได้ เขาก็ได้นำเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมามาใช้สอนชีวิตของตัวเขาเอง จนปัจจุบันกลายเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งของประเทศไทย พร้อมกับดูแลภรรยาที่ตอนนี้มีอยู่ 4 คน และลูก ๆ อีกสิบกว่าชีวิตได้เป็นอย่างดี








เรื่องที่คุณอาจสนใจ
หมอเส็ง เล่าบทเรียนชีวิต ก่อนพลิกเป็นมหาเศรษฐี ในตีสิบ โพสต์เมื่อ 10 กรกฎาคม 2556 เวลา 13:54:31 18,763 อ่าน
TOP