เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ HFclub TH สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
คลิป ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ ออกมาพูดถึงเหตุน้ำมันรั่วไหลที่ระยอง ชี้เป็นวิกฤติด้านการศึกษาของผู้รู้ วอนรัฐเข้ามาดูแลชาวบ้าน พร้อมเตรียมสรุปเรื่องเป็นภาษาอังกฤษส่งองค์การอนามัยโลก (WHO)
แม้ว่าก่อนหน้านี้ ทางผู้บริหารบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จะออกมาแสดงความเสียใจกรณีท่อรับน้ำมัน ดิบกลางทะเลของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ในเครือ ปตท. เกิดรั่วไหล ทำให้น้ำมันดิบไหลลงทะเล ห่างจากฝั่งทะเลด้าน จังหวัดระยอง 20 ไมล์ทะเล เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2556 และพัดเข้าหาดพร้าว เกาะเสม็ด จนได้รับความเสียหายอย่างหนัก และยืนยันว่าได้ร่วมมือกันในการกำจัดคราบน้ำมันดิบบริเวณอ่าวพร้าวบนเกาะเสม็ด มาอย่างต่อเนื่อง โดยดำเนินการตามแผนด้านความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม แล้วก็ตาม
แต่จากผลกระทบที่รุนแรงต่อจิตใจและสุขภาพทั้งต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่อาสา สมัครที่ปฏิบัติงานทำลายคราบน้ำมันดิบ รวมไปถึงระบบการจัดการรับมือต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร้ความรับผิดชอบนั้น ก็ได้ทำให้ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ ประธานมูลนิธิภูมิปัญญาสากล ไม่สามารถทนมองต่อสิ่งที่ เกิดขึ้นได้ และได้ออกมาระบายความในใจพร้อมทั้งอธิบายถึงแนวทางที่ทางกลุ่ม ปตท. และผู้รู้ที่เกี่ยวข้องควรจะเข้ามาช่วยเหลือโดยสรุป ผ่านทางคลิป "อธิบาย : สรุปการเข้าไปช่วยเหลือโดยใช้ชี
ในเนื้อหาของคลิป ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ ประธานมูลนิธิภูมิปัญญาสากล ได้กล่าวสวัสดีเพื่อนสมาชิกภูมิปัญญาสากลเครือข่ายเฝ้าสุขภาพ พร้อมกล่าวว่า วันก่อนได้ลงพื้นที่่เพื่อไปฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ว่าจะทำอย่างไรกับคราบน้ำมัน และก็มีชาวบ้านคนหนึ่งชื่อลุงแบน ที่เป็นชาวบ้านในพื้นที่ได้กล่าวว่าเมื่อมีชาวบ้านเข้าไปขอความช่วยเหลือจากผู้ที่เป็นต้นเหตุของภัยพิบัติในครั้งนี้ กลับไม่มีใครเข้าไปดูแลชาวบ้านเลย ทั้งยังโยนทัพพีและกระบวยให้ชาวบ้านไปตักคราบน้ำมันกันเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เพราะคราบน้ำมันเหล่านี้มันมีไอเบนซิน เพียงแค่ตัวอย่างเล็ก ๆ บางส่วนยังส่งผลให้หายใจติดขัดได้ นี่คือผลกระทบด้านสุขภาพที่ไม่มีใครลงมาสนใจพวกเขา และอยากขอเตือนชาวบ้านว่าอย่าเข้าไปใกล้
และการที่ใช้ประชาชนและกลุ่มอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) เข้าไปเก็บขยะนั้นมันไม่ได้ มันต้องมีหน่วยจากเจ้าหน้าที่ที่รู้เรื่องน้ำมันจาก ปตท. เข้าไปดำเนินการ เพราะเป็นผู้ที่รู้เรื่องน้ำมันเป็นอย่างดี การให้ประชาชนและทหารเข้าไปจัดการเช่นนี้นั้นเป็นการทำงานที่แสดงถึงความปล่อยปะละเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียใจว่าทำไม ปตท. ถึงไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเตรียมกำลังพลซึ่งมีจำนวนมากพอเข้าไปจัดการเรื่องนี้ เพราะจริง ๆ แล้วทาง ปตท. นั้นควรจะมีหน่วยเซฟตี้ไว้รองรับต่อเหตุเช่นนี้อยู่แล้ว มันเป็นหัวใจของอุตสาหกรรม การที่ทาง ปตท. ปล่อยไว้เช่นนี้แสดงว่าพวกเราทุกคนกำลังอยู่ในกระบวนการผลิตที่ไม่ปลอดภัยเลย
สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันสร้างผลกระทบทางจิตใจต่อชาวบ้านอย่างมาก แถมอยู่ดี ๆ ก็มีคนนำเครื่องบินมาปล่อยสารเคมีลงมาเพื่อจับคราบน้ำมันในทะเลให้จมลงไปใต้ทะเล โดยที่ชาวบ้านไม่รู้เรื่องอะไรเลย ผู้รับผิดชอบควรจะรู้ดีกว่าสารเคมีทุกชนิดเมื่อนำมาโปรยในอากาศย่อมลดออกซิเจนในอากาศอย่างแน่นอน อีกทั้งเป็นไปไม่ได้ที่น้ำมันซึ่งลอยในทะเลจะจมลงไป ยังไงก็ต้องพัดเข้าหาฝั่งอย่างแน่นอน ณ ตอนนี้กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ต่างได้รับสารพิษจากสารเคมีนั้นเช้าไปเต็ม ๆ ซึ่งจุดนี้อยากเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาดูแล มาขึ้นทะเบียนกลุ่มผู้ที่ได้รับสารพิษอย่างด่วนที่สุด
ในวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ อยากขอวิงวอนให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายที่เกี่ยวข้องออกมาแสดงตัวรับผิดชอบ ไม่อย่างนั้นพวกคุณจะกลายมาเป็นผู้ที่น่าอับอายเอง เพราะตัวเองซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้สูง กลับมาทิ้งสิ่งปฏิกูลไว้กับธรรมชาติ ปล่อยทิ้งไว้กับผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษาในระบบแทนตัวเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ควรจะต้องประกาศเป็นภาวะวิกฤติทางการศึกษาของผู้รู้ และถือเป็นความรุนแรงทางจิตวิญญาณอย่างมาก การที่คุณไม่ออกมารับผิดชอบ ถือว่าพวกคุณไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง และเป็นสิ่งที่น่าอับอายอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ ในการรับมือต่อภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างไร้ความรับผิดชอบ จากกลุ่มผู้ประกอบการนั้น เป็นสิ่งที่น่าหดหู่อย่างมาก ทั้งต่อความไม่รับผิดชอบ ความเสียหายที่เกิดขึ้น ภัยพิบัติ และหดหู่ต่อผู้ที่ทำให้เกิดเหตุซึ่งไม่ได้เตรียมการรับมือใด ๆ ทั้งที่ตัวเองต้องมีการรับมือต่อภัยพิบัติ มีการคุ้มครองภัยพิบัติต่อประชาชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนคำประกาศและคำมั่นสัญญาก่อนก่อตั้งอุตสาหกรรม ซึ่งตอนนี้สัญญาเหล่านั้นไปสลายไปหมดแล้ว ไม่มีใครเข้ามารู้เรื่องความเดือดร้อนของชาวบ้านเลย
สุดท้ายนี้ การที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายออกมาบอกว่าสารชีวภาพสามารถช่วยสถานการณ์ตรงนี้ได้นั้น มันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ อีกทั้งคนที่เข้าไปจัดการต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ไม่ใช่ว่าจะใช้ชาวบ้านตาดำ ๆ ที่ไม่รู้เรื่องไอพิษหรือเบนซินใด ๆ เลยเข้าไปจัดการกันเอง มันเป็นความไม่รู้ของคนที่ใช้ให้ชาวบ้านเหล่านั้นเข้าไป ซึ่งเป็นความรู้ที่เห็นแก่ตัวมาก และส่วนตัวเองไม่อนุญาตให้ใครก็ตามที่ไม่มีความรู้เข้าไปจัดการ สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเงื่อนไขระดับโลก และหลังจากนี้ตนก็จะเขียนเรื่องนี้ภาคภาษาอังกฤษส่งให้องค์การอนามัยโลก (WHO) โดยด่วน