เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Thaksin Shinawatra
ทักษิณ โว ปีหน้าไทยกับจีนจะยกเลิกวีซ่าต่อกัน พร้อมเล่าเรื่อง Shock Therapy หรือยาแรงทางเศรษฐกิจที่สร้างความเชื่อมั่น กระตุ้นเศรษฐกิจได้สมัยเป็นนายกฯ
เมื่อวานนี้ (28 ตุลาคม 2556) เฟซบุ๊ก Thaksin Shinawatra ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีการเขียนข้อความเกี่ยวกับการไปเยือนประเทศญี่ปุ่นว่า การที่จะทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น จำเป็นต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และความเชื่อมั่น อย่างเช่นญี่ปุ่นได้ทำให้ค่าเงินเยนแข็งกว่าเศรษฐกิจที่แท้จริง เป็นยาแรงที่ทำให้ฟื้นจากวิกฤติได้ หรือ Shock Therapy นอกจากนี้ ยังได้พูดคุยเรื่องวีซ่าไทยญี่ปุ่นกับนายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ที่มีข่าวลือว่าญี่ปุ่นจะยกเลิกวีซ่า นั่นก็ไม่เป็นความจริง ส่วนในปี 2557 นี้ จีนกับไทยจะยกเลิกวีซ่าต่อกันแล้ว
สำหรับข้อความทั้งหมดของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีดังนี้
"Me and My Country (3)
ผมมาอยู่ญี่ปุ่น 3 วัน มาเห็นเศรษฐกิจญี่ปุ่นคึกคักขึ้นเยอะ สอบถามผู้คนถึงความพึงพอใจ ก็พบว่าคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าดีขึ้น พอใจ
ก็เลยทำให้นึกถึงตอนที่ผมเป็นนายกฯ ใหม่ ๆ ผมจับทฤษฎีโลกทุนนิยมว่าเศรษฐกิจเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง จิตวิทยาที่ว่าจะต้องให้เกิดบรรยากาศแห่งความเชื่อมั่น ความไว้เนื้อเชื่อใจ (Trust & Confident)
พอท่านนายกฯ Abe เข้ามา ท่านปรับค่าเงินเยนที่แข็งเกินกว่าเศรษฐกิจที่แท้จริง ถ้าเป็นภาษาของอาชญวิทยา เราเรียกกันว่า Shock Therapy คือการรักษาบำบัดโดยวิธีที่รุนแรง พอดีผมมีโอกาสได้คุยกับท่านนายกฯ Abe ด้วยตัวเอง ก็เลยถามท่าน ท่านตอบดีมาก
ท่านเลี่ยงคำว่าลดค่าเงินซึ่งเป็นการที่อาจถูกต่อว่าจากประเทศคู่ค้าได้ ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ลดแค่ค่าเงิน ท่านใช้ทฤษฎี Inflation Targeting ด้วยการตั้งค่าอัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 2% เพราะเดิมอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเป็น 0% หรือบางทีก็ติดลบหน่อยๆ ก็เลยทำให้ค่าเงินเยนอ่อนตัวอย่างรวดเร็ว เงินถึงจะเฟ้อขึ้นมาระดับ 2% ได้ ซึ่งเป็นคำตอบที่ถูกทฤษฎี ความเชื่อมั่นจึงเกิดกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นอย่างแรง รัฐบาลจึงเป็นที่นิยมของประชาชนซึ่งรอความหวังทางเศรษฐกิจมานาน
ตอนที่ผมเข้ามาเป็นนายกฯ ใหม่ตอนนั้น เศรษฐกิจยังไม่ยอมฟื้นจากวิกฤติ หลังจากที่ผมตรวจสอบสภาพคล่องในสถาบันการเงินทั้งของภาครัฐและเอกชน ผมรู้สภาพปัญหาที่เงินของพ่อค้าส่งออกไม่ยอมส่งกลับเข้าไทย และก็สถาบันการเงินต่างประเทศก็ยังไม่มีความเข้าใจและไว้วางใจเศรษฐกิจไทย ผมเลยประกาศความแข็งแรงทันทีว่า เราจะช่วยตัวเอง เราจะฟื้นเศรษฐกิจตัวเอง โดยการไม่ขอความช่วยเหลือทางการเงินจากใคร และจะไม่กู้เงินต่างประเทศเป็นอันขาด ทำให้วงการเงินต่าง ๆ ช๊อค นึกว่าเรายังจะวิ่งกู้อยู่ คนไทยก็มีความมั่นใจขึ้นจึงเริ่มมีการขยับตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น
ผมเริ่มปฏิบัติการตามนโยบายที่หาเสียงไว้ทันที โดยเฉพาะกองทุนหมู่บ้านที่ถูกดูแคลนว่าจะเอาตังค์ที่ไหนมาทำ และโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค และตามมาด้วยหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) แล้วรีบตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ซื้อหนี้ออกจากธนาคารเพื่อให้ธนาคารเริ่มปล่อยกู้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ถือว่าเป็นการ Shock Therapy เช่นกัน หุ้นก็เริ่มขึ้น ค่าเงินบาทก็เริ่มแข็งตัวแบบมีเสถียรภาพ เงินที่พ่อค้าส่งออกไม่ยอมเอาเข้ามาก็เข้ามา
พอเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ผมจึงประกาศใช้หนี้ IMF เศรษฐกิจจึงแข็งอย่างต่อเนื่องมาหลายปี
ก็ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าเศรษฐกิจจะดีได้ต้องสร้างบรรยากาศให้เกิด Trust and Confident ในระบบเศรษฐกิจเราให้ได้ครับ
ไหน ๆ ผมก็ได้คุยกับท่านนายกฯ Abe แล้ว ผมก็เลยสอบถามเรื่องวีซ่าเข้าญี่ปุ่นที่มีการปล่อยข่าวลือว่าจะยกเลิกการไม่ให้วีซ่า กลับมาต้องมีวีซ่าเหมือนเดิมเพราะมีคนไทยเข้าไปแล้วไม่ออกมาหลายคน ซึ่งก่อนผมจะถามท่าน ผมก็เลยขอข้อมูลส่วนของเราก่อนก็พบว่า การอยู่เกินกำหนดมีทั้งสองฝ่าย คือทั้งญี่ปุ่นมาไทยและไทยไปญี่ปุ่น อัตราของการอยู่เกินของไทยไปญี่ปุ่นมีไม่มากกว่าตอนที่ต้องมีวีซ่ามากนัก และเมื่อเปรียบเทียบจำนวนคนไทยไปญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นถือว่าน้อยมาก ท่าน Abe ก็ตอบผมว่าไม่ได้วิตกและไม่ได้คิดเปลี่ยนนโยบายเรื่องนี้เลย ก็ไม่รู้ใครปล่อยข่าวลือจนคนไทยตกใจมาถามผมจำนวนมาก ผมก็เลยไปถามมาด้วยตนเองมาเล่าให้ฟังว่าไม่ต้องวิตก
คนสิงคโปร์ไปไหนเกือบทั่วโลกไม่ต้องมีวีซ่า ทำไมคนไทยต้องขอวีซ่าอีกตั้งหลายประเทศ ดังนั้นนับวันรัฐบาลก็จะเจรจายกเลิกวีซ่า 2 ฝ่ายกับประเทศหลัก ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ ครับ ปีใหม่ 2014 นี้จีนกับไทยจะยกเลิกวีซ่าต่อกันแล้วครับ"