x close

กีร์ อริสมันต์ ยกฮุนเซนเทียบพ่อบังเกิดเกล้า เป็นหนี้ชีวิตหลังหนีตาย





          กีร์ อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ยกฮุนเซนเทียบพ่อบังเกิดเกล้า เป็นหนี้ชีวิตหลังหนีตาย ปี 2553 พร้อมเผยเรื่องราวระหว่างหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ชี้ ทหารไทยไล่ฆ่า ทหารกัมพูชาผู้ปกป้องตน

          วันที่ 4 มกราคม 2557 สำนักข่าวอิศรา ได้เปิดเผยคำบอกเล่าของ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง อดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย (พท.) และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ระหว่างหลบหนีการไล่ล่าจับกุมของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ขณะถูกทหารล้อมปราบสลายการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ ในเดือนพฤษภาคม 2553 พร้อมเผยความสัมพันธ์อันแนบแน่น ระหว่างนายอริสมันต์กับ สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ช่วงที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่กัมพูชา 

          โดยนายอริสมันต์ เล่าว่า ในเวลานั้น ตน นายณัฐวุติ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ เรียกว่ามือกอดคอกันหัวระดมกัน และตนก็ถูกหมายเอาชีวิต นายณัฐวุฒิและนายจตุพร จึงพยายามให้ตนมอบตัวด้วยความรักในความเป็นเพื่อน ด้านนายณัฐวุฒิแนะนำว่าหากตนอยู่ในฝูงชนก็อาจมีโอกาสรอด แต่ตนเห็นว่าแม้เราจะแถลงข่าวไปเมื่อคืนวันที่ 18 พฤษภาคม 2553 แล้ว ดูสถานการณ์พวกเขาก็คงไม่เก็บพวกเราไว้แน่ สุดท้ายตนจนตัดสินใจขอกำลังส่วนหนึ่งออกไปสู้ จนเมื่อความเห็นเป็น 2 ต่อ 1 นายณัฐวุฒิเลยขึ้นเวทีแถลงว่าจะสลายการชุมนุมกับนายจตุพร

          นายอริสมันต์เล่าต่อว่า ในขณะนั้นตนนั่งตรงด้านขวา ตรงหน้านั้นเป็นหน้าของพระพรหม ฟังแถลงการณ์จนจบ เห็นทุกภาพ สุดท้ายก็พามวลชนเข้ามอบตัว ในขณะที่มอบตัว เสียงปืนก็ดัง แล้วทหารก็วิ่งเข้ามา เพื่อที่จะเคลียร์พื้นที่ ตนก็ตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรดี และสุดท้ายก็เลยตัดสินใจว่า ต้องออก 
          
          ในตอนนั้น คนขายผ้าที่มารู้ทีหลังว่าชื่อปราโมทย์ ก็บอกให้ตนยอมแพ้ แต่ตนบอกไปว่า ไม่ได้หรอก ถ้าผมแพ้ ประชาชนจะแพ้หมด ฉะนั้นเราต้องเหลือไว้ ออกไปอยู่ตรงไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ให้โดนจับ คนขายเสื้อจึงบอกว่า เอา โอเค ทั้งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน และบอกให้ตนเปลี่ยนรอบเท้าใส่ของเขา เปลี่ยนเสื้อผ้า ทำผมกระเซอะกระเซิงหน่อย และใส่แว่น เดินกอดคอไปกับเขา ด้านซ้ายตนบังเอิญมีร้านขายบุหรี่ พวกฮอลล์ ยาหม่อง ตนเลยสั่งบุหรี่ 10 มวน ไฟแช็กด้วย แล้วเดินสูบบุหรี่แบบเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ออกไป

          ขณะที่กำลังจะเดิน มีหลวงพ่อโทรมา ให้คาถาพรางตัว เราบอกอย่ามาพูดเล่นกับเรานะ ยิงกันขนาดนี้ มันไม่ได้แล้ว เราก็มีพระเนรศวร 1 องค์ หลวงพ่อฉุย 1 องค์ เราจึงขอพรจากหลวงพ่อให้ช่วย ให้พรางตาให้ด้วย พอท่องคาถาเสร็จปั๊บตนก็เดินออก เชื่อไหม ทหารตำรวจวิ่งสวนมาเป็นร้อย ไม่เห็นเรา

          นายอริสมันต์ เล่าว่า จากนั้นตนเดินมาจนถึงหน้าบิ๊กซี แล้วเลี้ยวขวา คราวนี้เหมือนเจอกองทัพ ก็เดินเข้าไป ตัดสินใจเอาวะ เห็นรถฮัมวี่ รถยีเอ็มซี จอดอยู่ ทหารเยอะ อารมณ์นั้นคิดว่าไม่รอด คนขายผ้าก็บอกว่า พี่ ยอมแพ้เถอะ หรือไม่ก็เข้าไปหลบบ้านเพื่อนผมก่อนตรงตีนสะพาน ตนจึงบอกว่า ไม่ได้หรอก คนขายผ้าก็ขาสั่น แต่สุดท้ายมันก็ฮึด ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ขอส่งวีรบุรุษให้ถึงที่หน่อย เราก็เดินไป

          ระหว่างเดินเสียงปืนก็ดังตลอด บนตึกมีทหารสไนเปอร์ทุกหน้าต่าง ขณะที่กำลังเดินออกไป ผู้หญิงคนหนึ่งส่งเสียงมาจากในบ้าน บอกมีทหารแอบยิงคนอยู่บนตึก ตะโกนเสียงดัง ทหารก็หลบลงไป ผมเห็นทหารหลบ ตนก็วิ่งไปหลบใต้ตึก จนพอเดินไปถึงตรงมิดไนท์ไก่ตอน สี่แยกไก่ตอน ลูกน้องที่เป็นหน่วยนำทางก็ตะโกน นาย มอเตอร์ไซค์พร้อมแล้ว ๆ ทหารก็จ้องเลย ผมก็ไม่กล้าขึ้นมอเตอร์ไซค์ ผมก็เดินข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง ฝั่งนั้นจะเป็นประตูน้ำคอมเพล็กซ์ เดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อเป็นไรไม่รู้ เดินกอดคอไปกับคนขายเสื้อ

          นายอริสมันต์ เผยว่า ฝั่งตรงข้ามก็ยังมีสไนเปอร์ส่องตนมาตลอดทาง แต่ตนยังก็เดินผ่านไปเรื่อย ๆ แต่ตอนนั้นเหนื่อยมาก ก็ไปแวะนั่งตรงหน้าตึกแห่งหนึ่ง มีเสาใหญ่ ๆ ขณะนั้นก็มีเสียงปืนดัง เราก็อยากจะรู้ว่าข้างบนเรามีอะไรบ้าง ผมก็ล้มตัวลงนอน เพื่อจะดูในตึกว่ามีอะไรหรือไม่ เสียงปืนดังพอดี คนก็ตะโกนว่ามีคนโดนยิง

          นายอริสมันต์ ยังเล่าว่า ทหารที่อยู่ฝั่งโน้นก็วิ่งถือถุงดำเข้ามาจะมาหาตน คนข้างหลังเห็นทหารวิ่งมาก็วิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไป ตนก็คิดว่าจะวิ่งก็กลัวโดนยิงข้างหลัง ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหา พอขณะที่จะเดินชนกันพอดี ตนเดินไปถึงศาลก่อน ก็กระโดดไปในศาลจีน ทำเป็นปัดกวาดเช็ดถู จนกระทั่งทหารไม่เห็นว่ามีคนตายเลยเดินกลับไป พวกทหารที่อยู่ในซอยก็เดินออกมา ตนเห็นทหารเดินออกมา ผมก็ขอพรจากศาลว่าขอให้รอด แล้วก็เดินหนีซอกแซกไปในซอย จนเจอวินมอเตอร์ไซค์จอดอยู่กลางซอยที่ไม่รู้จักตน ตนบอกว่าให้ตามรถลูกน้องผมที่นำไปก่อนแล้ว หลังจากนั้นก็ไปเจอด่านตำรวจ วินเขาไม่รู้ว่าอริสมันต์ซ้อนท้าย ก็รี่เข้าไปหาตำรวจ ตำรวจก็มองซ้ายมองขวามองแล้วมองอีก เขาคงคิดว่าทำไมอริสมันต์ดูโทรมจัง แล้วก็ปล่อยไป

          พอถึงด่านตำรวจที่ 2 ซึ่งยังไงก็ต้องออกด่านนี้ เพราะด้านซ้ายเป็นทางรถไฟมันก็ไม่มีทางไป ด้านขวาก็เป็นตึกเราก็คิดว่า เสร็จแน่ ทหารเป็นร้อย มันมี 2 ช่อง ช่องมีผู้โดยสาร กับไม่มีผู้โดยสาร วินก็ขับรี่เข้าไปหาทหาร ไปในช่องที่มีผู้โดยสาร ทหารพูดว่าไม่มีผู้โดยสารจะเข้ามาทำไม แต่ความจริงแล้วมีผมนั่งซ้อนท้ายมอไซค์อยู่

          หลังจากนั้นมีรถอยู่คันหนึ่งเห็น เป็นรถแจ๊สสีดำ พุ่งมาเลย เพราะเห็นว่าเราไม่ได้รับการตรวจ ตามมาเรื่อยจนถึงสี่แยก อสมท. มันก็เบิ้ลเครื่องพยายามให้หันไปดู ตนไม่สนใจ มองกระจกข้างอย่างเดียว มันก็ขับตามมาเรื่อยผ่านสี่แยกห้วยขวาง ผ่านมาถึงสี่แยกสุทธิสาร ตนสั่งเลี้ยวกระทันหัน พอเลี้ยวเสร็จ รถคันดังกล่าวก็เลี้ยวตามมา ตนก็เลี้ยวขวาเข้าไปในซอยอินทามะระ 32 มันก็ตามไม่ทัน ผมก็สลัดหลุด พอขับออกมาถนนรัชดาภิเษก และก็เลี้ยวไปเข้าตรงถนนลาดพร้าว หลังจากนั้นมีโทรศัพท์เข้ามา ลูกน้องที่เป็นนาวิก บอกว่า เขาสั่งจับตายตนแล้ว แล้วตนไม่มีคนคุ้มครองต้องกลับมาก่อน แต่ตนกลับไม่ได้ จึงบอกให้ไปรอที่ชายแดน

          จากนั้น มันเหมือนในหนัง แบตตนก็กำลังจะหมด โทรหาใครก็ไม่ติด สุดท้ายตนโทรบอกคนที่นัดรถกันให้มาเจอผมที่ซอยพหลโยธิน 24 ให้เข้ามาลึก ๆ แล้วตนจะเดินไปหาเอง และในตอนนั้นตนที่ยังอยู่ในซอยลาดพร้าว 15 ก็เดินหลงทาง หลังจากนั้นก็มาจอดหน้าโรงเรียนสันติราษฎร์ เดินไปขึ้นรถพอขึ้นรถเสร็จ ก็เลี้ยวไปรับลูกน้องอีกคนที่ขับไปรอหน้าตึกชินวัตร 3 ซอยสุภาลัยพาร์ค แต่ว่ามีกองทัพที่ตึกชินหลายพันคน คิดในใจว่าออกไม่ได้แน่ ๆ แล้วรถที่รับเราเป็นเบ๊นซ์ เราคิดว่าตายแล้วชัวร์

          อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นลูกน้องก็ช่วยเปลี่ยนรถ นั่งรออยู่สักพักหนึ่ง ก็เปลี่ยนรถเป็นรถตู้ส่งของเก่า ๆ พอเคลื่อนตัวออกไปก็เลี้ยวซ้ายกำลังจะขึ้นสะพานพระราม 7 ผมฟังวิทยุ ทุกด่านกำลังตามหาตัวผมให้ควั่ก แล้วรถติดมาก ตนเลยตัดสินใจไม่ขึ้นสะพานประชานุกูล เลี้ยวขวาเข้าทางประชาชื่นแทน ไปทางปทุมธานี สุพรรณบุรี แล้วโทรเรียกรถมารับเรา เดินหน้าเต็มตัวมุ่งหน้าสุพรรณ เจอที่ไหนเปลี่ยนที่นั่น และให้แวะซื้อโทรศัพท์ใหม่ 3 เครื่องให้ด้วย

          นายอริสมันต์ เล่าวว่า ตนนัดแนะกันว่าไปเจอกันที่กิโลเมตรที่ 60 จากนั้นลูกน้องก็ให้พระให้ชานหมากหลวงปูชา ตนก็ใส่ ก็ออกจากตรงนั้นไป ห่างกันสิบกิโล ให้รถคันหน้าโทรแจ้งตลอดว่ามีอะไรหลังจากนั้นตนจึงขับรถเดินทางสายตำบล ถึงสุพรรณบุรี ก็เข้าไปในอำเภอต่าง ๆ ไปทะลุที่ชัยนาท ผ่านชัยนาทเข้าอำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ ไปจนถึงอำเภอชัยบาดาล อำเภอลำนารายณ์ อำเภอเทพสถิต วกเข้ามาใหม่เพื่อที่จะขึ้นถนนมิตรภาพ เพื่อจะไปออกทางด้านสุรินทร์

          และก่อนที่จะขึ้นมิตรภาพ หลวงพ่อได้โทรมาอีก บอกว่า โยมอริสมันต์ ยังไม่รอดนะโยม แม้ว่าจะได้ข่าวว่าถูกจับแล้ว โดนยิงแล้ว เสียชีวิตแล้ว แต่โยมยังไม่รอดนะ หลวงพ่อเลยแนะนำให้ตั้งอธิษฐานไว้ ให้ระลึกถึงหลวงปู่นาคไว้ ผมก็เอาพระขึ้นมา หลวงพ่อก็สวดคาถาทางโทรศัพท์ ไม่เกิน 5 นาที รถผมก็ขึ้นมิตรภาพ ทีนี้ขณะขึ้นมิตรภาพด้วยกัน รถคันนำก็ยังช้าอยู่ ยังชิดกันอยู่ พอขึ้นปั๊บ ขับไปยังไม่ถึงกิโลเมตรเลย เจอกองทัพภาค 2 กั้นถนนไว้หมดเลย รถคันหน้าก็พยายามจะเลี้ยวกลับ ตนบอกว่าให้รถเราขับดี ๆ ไม่ต้องมีพิรุธ ก็ขับไป

          หลังจากนั้นทหารวิ่งมาประมาณ 10 กว่าคน เอาปืนจ่อเรา รถคันหน้าลงหมด เราก็นึกว่าจบชีวิตแล้ว เป็นไงเป็นกัน ตนก็เอาหัวพิงเบาะ ปากสูบบุหรี่ อีกข้างคุยโทรศัพท์ คุยอะไรไม่รู้เรื่องตอนนั้น จำไม่ได้เลย ทหารก็วิ่งเข้ามาลดกระจกลง ถามว่าไปไหนกัน คนรถบอกว่าไปแต่งงานหนองสองห้อง แถว ๆ ขอนแก่น เสร็จแล้วก็วนถามอีก ก็ตอบอีกว่าไปแต่งงาน มันก็ชะโงกหน้ามาดู ไปกันสองคนเองเหรอ ทั้งที่ตอนนั้นในรถมีทั้งหมด 4 คน

          จากนั้นตนได้ใช้เส้นทางสายตำบลอีก ไปถึงอำเภอสูงเนิน ขับไปพอใกล้พิมาย ก็เลี้ยวไปทางสายขรุขระผ่านไปที่อำเภอสะตึก และเข้าไปที่จังหวัดสุรินทร์ ก่อนจะเกาะเส้นทางสายที่มีรถไฟ พอถึงสุรินทร์ ก็หักเลี้ยวกลับเข้าอำเภอปราสาท และพอผ่านแหล่มการค้าที่ช่องจอม ก็มีทีมงานบอกว่าได้เอาตำรวจมารอรับตน ให้ตำรวจพาข้ามแดน

          เมื่อตนไปที่จุดนัดพบ เราก็ข้ามด้านไปฝั่งกัมพูชา ซึ่งทางนั้นเขาก็ดูแลเราอย่างดี เราจึงเขียนว่า ทหารไทยไล่ฆ่า ทหารกัมพูชาผู้ปกป้อง เขียนแล้วก็ทิ้งไว้ตรงนั้น เสร็จแล้วตนก็กลับเข้าไปพนมเปญ ก่อนจะออกจากเมือง ย้ายสลับที่ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสถานการณ์ดีขึ้น เราก็กลับเข้ามาในพนมเปญอีกทีหนึ่ง

          นายอริสมันต์  เผยว่า ในช่วงตอนนั้นก็ยากลำบากเหมือนกัน เพราะเราไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้ และตอนนั้นก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันคิดสองอย่าง เหมือนกับตอนพฤษภาทมิฬ เราก็เคยหนีไปรอบหนึ่ง ครั้งนี้ทำไมเราต้องหนีด้วย พฤษภาทมิฬก็หนีไปยาวเหมือนกัน ครั้งนี้อาจหนียาวกว่า และคิดว่าคงไม่ได้กลับ คราวนี้เราก็ตระเวนโลก มีพาสสปอร์ตพิเศษ สำหรับนักต่อสู้ทางประชาธิปไตย มีหลายประเทศให้ ก็ให้ไปที่ไหนบ้าง รัสเซีย ดูไบ บรูไน พม่า จีน ยุโรป เฉลี่ย ๆ แบ่งไป และเราก็คิดว่า เราจะลี้ภัยทางการเมือง คิดว่าคงไม่ได้กลับเพราะว่าเราถูกกล่าวหาว่าล้มล้างสถาบันเป็นเรื่องใหญ่

          แต่หลังจากนั้นเมื่อเข้าไปในกัมพูชา ก็ได้ นายใหญ่ คือ พตท.ทักษิณ ชินวัตร และสมเด็จฮุน เซน ให้การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เราจึงติดหนี้บุญคุณ ทั้งไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะสมเด็จฮุน เซน พูดง่าย ๆ ว่าเราเรียกเขาว่าพ่อโดยไม่กระดากใจ เพราะถ้าไม่มีท่านผมคงตาย ไม่มีประเทศกัมพูชาผมคงตายด้วย


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
กีร์ อริสมันต์ ยกฮุนเซนเทียบพ่อบังเกิดเกล้า เป็นหนี้ชีวิตหลังหนีตาย โพสต์เมื่อ 4 มกราคม 2557 เวลา 22:33:00 52,479 อ่าน
TOP