x close

คลังโต้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยกข้อมูลเก่ามาพูดซ้ำ ละเลยประชาธิปไตย

จดหมายเปิดผนึกถึง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก กิตติรัตน์ ณ ระนอง

           คลังโต้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร โจมตีรับจำนำข้าว เป็นแค่นำข้อมูลเดิมมาพูดซ้ำ ไม่ใช่ข้อมูลใหม่ ยันรัฐจ่ายเงินชาวนาอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ล่าช้าเพราะม็อบ ชี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เรียกร้องให้นายกฯ ลาออกเป็นการละเลยประชาธิปไตย

           วานนี้ (6 กุมภาพันธ์ 2557) นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" ถึงกรณีที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2557 โดยเห็นว่า เป็นข้อมูลที่รับรู้โดยทั่วไป และมีการชี้แจงเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งก่อนและหลังที่รัฐบาลได้ยุบสภา ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ได้นำข้อมูลเดิมมาเสนอซ้ำอีกในลักษณะแผ่นเสียงตกร่อง มิใช่ข้อคิด ความเห็น หรือข้อมูลใหม่ พร้อมระบุว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลยุคหลังรัฐประหาร กันยายน 2549 ได้เคยออกมาตรการควบคุมเงินทุนไหลออกจนตลาดหุ้นล่มถล่มทลายมาแล้ว โดยเนื้อหาทั้งหมดมีดังนี้...


           จดหมายเปิดผนึกถึง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล

           สืบเนื่องจาก ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ได้ทำจดหมายเปิดผนึก ถึง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ นั้น เห็นว่าหลักคิดและการอธิบายความในปัญหาต่างๆ ที่สังคมทั่วไปในจดหมายเปิดผนึกเป็นข้อมูลที่รับรู้และรับทราบโดยทั่วไป ทั้งในเวทีระบบรัฐสภา ที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาล และมีการชี้แจงเสร็จสิ้นแล้วและเป็นข้อมูลที่มีการพูดจากัน ทั้งก่อนและหลังที่รัฐบาลได้ยุบสภา อีกทั้งเมื่อมีการชุมนุมของประชาชน ประชาชนก็ได้นำข้อมูลที่ มรว.ปรีดิยาธร เทวกุล ได้นำมาเผยแพร่ เวทีผู้ชุมนุมโดยกล่าวหาเป็นรายวัน เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง

           ณ วันนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ก็กลับนำข้อมูลเดิมตามที่กล่าวมา มานำเสนอซ้ำอีก ในลักษณะแผ่นเสียงตกร่อง ทั้งสิ่งที่นำเสนอนั้น มิใช่ข้อคิด ความเห็น หรือข้อมูลใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และต่อสถานะของรัฐบาลในปัจจุบัน ซึ่ง มรว.ปรีดิยาธรฯ ในฐานะอดีตรองนายกรัฐมนตรีสายเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลยุคหลังรัฐประหาร กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้เคยออกมาตรการควบคุมเงินทุนไหลออกจนตลาดหุ้นล่มถล่มทลายมาแล้ว ทราบดีว่า รัฐบาลนี้ได้ตัดสินใจคืนอำนาจให้กับประชาชนเพื่อตัดสินใจทางการเมืองในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยในการกำหนดอนาคตของประเทศโดยปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำทางความคิด ไม่ว่าจะเป็นโดยบุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ตาม

           เพื่อให้สาธารณะได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง ผมขอถือโอกาสชี้แจงทำความเข้าใจในประเด็นที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

           โครงการรับจำนำข้าว ดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี ๒๕๕๔ ต่อเนื่องมา ๔ ฤดูการผลิต คือ ๒๕๕๔/๕๕ (๒) นาปี ๒๕๕๕/๕๖ (๓) นาปี ๒๕๕๕/๕๖ และ (๔) นาปรัง ๒๕๕๖/๕๗ สามารถจ่ายเงินค่ารับจำนำแก่ชาวนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นจำนวนเงินกว่า ๖ แสนล้านบาท จนมาถึงฤดูกาลนาปี ๒๕๕๖/๕๗ ซึ่งได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการในวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๖ และรับจำนำมาตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ สามารถช่วยจ่ายค่ารับจำนำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงต้นฤดูกาลและได้จ่ายเงินค่ารับจำนำไปแล้วเป็นจำนวนกว่า ๖ หมื่นล้านบาท โดยไม่ได้ล่าช้า แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดจากฝ่ายค้านโดยทำให้การอนุมัติใช้งบประมาณประจำปีล่าช้า การบุกยึดกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ และ ส.ส. ฝ่ายค้านลาออกยกพรรค ซึ่งนำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎรทำให้รัฐบาลต้องปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายในการจัดหาเงินเพิ่มขึ้น และมีขบวนการในการข่มขู่ทั้งสถาบันการเงินและส่วนราชการที่ทำให้การจัดหาเงินมีความล่าช้าแต่กระทรวงการคลังยังคงเดินหน้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามมติคณะรัฐมนตรี และกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและรอบคอบ

           ต่อประเด็นที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ ยกเรื่องคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว มากล่าวหา นั้นไม่เป็นธรรม ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้น สิ่งที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ รวมทั้งกลุ่มผู้โจมตีโครงการนี้มิได้พูดถึงเลยคือมูลค่าของข้าวที่อยู่ในสต็อก ซึ่งมีมูลค่าอยู่ในตัวเอง รวมทั้งส่วนต่างที่ขาดหายไปนั้นแท้จริงแล้วอยู่ในมือชาวนา

           สำหรับนโยบายพลังงานทางเลือก ตามยุทธศาสตร์พลังงาน (โครงการโซลาร์เซล) เป็นนโยบายที่ดำเนินการต่อเนื่องมาหลายรัฐบาล ซึ่ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่า ขั้นตอน กระบวนการในการดำเนินนโยบายนี้นั้น เกี่ยวข้องกับหน่วยงานหลายหน่วยงาน ทำให้มีปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานซึ่งท่านก็น่าจะเคยพบปัญหานี้มาก่อนในสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลที่ผ่านมา โดยเฉพาะขั้นตอนในระดับปฏิบัติในการออกใบอนุญาต รง.๔ ซึ่งรัฐบาลนี้ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้มีการจัดประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมานั้น ได้พยายามแก้ไขปัญหาการออกใบอนุญาตดังกล่าว โดยการขอยกเว้นจากกระทรวงอุตสาหกรรม แต่จำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ จึงต้องใช้เวลาในการดำเนินการ

           ในประเด็นการปฏิรูปประเทศ นั้น มิได้เป็นปัญหาในการสร้างกระบวนการในการมีส่วนร่วมระหว่างประชาชน สถาบัน องค์กร ต่าง ๆ หรือการยอมรับ รวมทั้งปัญหาความเชื่อมั่นต่อประเด็นการปฏิรูปการเมือง ตามที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ กล่าวอ้าง แต่แท้จริงแล้ว ในเรื่องนี้ เป็นประเด็นที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจว่าการปฏิรูปการเมือง สามารถดำเนินการคู่ขนานพร้อมไปกับการเลือกตั้ง โดยที่ไม่ต้อง “แช่แข็งประเทศ” อยู่กับการปฏิรูปการเมือง เพราะปัญหาของประเทศนั้น มีหลายมิติ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจมีลักษณะเป็นพลวัตรที่ไม่หยุดนิ่ง จำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเพื่อให้การบริหารราชการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และในตอนนี้ ประเทศไทยได้ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งจากความสำเร็จในการจัดการเลือกตั้งในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งมีหน่วยเลือกตั้งเกือบร้อยละ ๙๐ ที่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ และมีประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งถึงกว่า ๒๐ ล้านคน แม้ว่าการยังมีหลายพื้นที่ที่ยังจัดการเลือกตั้งไม่ได้ แต่เชื่อว่าในท้ายที่สุด กกต. รวมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคมจะร่วมมือกันช่วยประคับประคองรักษาระบอบประชาธิปไตยเพื่อให้สามารถจัดการเลือกตั้งได้จนครบทุกเขต การที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ ยังยึดติดอยู่กับประเด็นเดิม ซึ่งเป็นประเด็นเดียวกับผู้ชุมนุมในลักษณะที่คล้ายจะเป็นแนวร่วม ด้วยท่าทีที่สิ้นหวังต่อระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนนั้น ไม่ต่างจากการไม่ให้ความเคารพต่อเจตนารมณ์ของประชาชนทั้ง ๒๐ ล้านคนที่ออกมาเลือกตั้ง ที่อดทนและยืนหยัดอยู่ข้างหลักการประชาธิปไตย

           สุดท้ายนี้ การที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ รวมทั้งผู้ชุมนุมที่มีข้อเรียกร้องในลักษณะเดียวกันคือให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้มีคนกลางมาดำเนินการปฏิรูป ตลอดจนบริหารประเทศ นั้น เห็นได้ชัดว่า แนวคิดดังกล่าวเป็นการละเลยการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนไม่คำนึงว่าการดำรงอยู่ของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี นั้น จะเป็นหลักประกันของการคงอยู่ซึ่งวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ทั้งยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคมโลกว่าประเทศไทยมีระบอบการเมืองการปกครองที่เข้มแข็ง พลเมืองมีความเท่าเทียมกันภายใต้ระบอบประชาธิปไตย มีความอดทนพร้อมที่จะพัฒนาการเมือง การปกครองให้เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น


           นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง
           รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
คลังโต้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยกข้อมูลเก่ามาพูดซ้ำ ละเลยประชาธิปไตย อัปเดตล่าสุด 7 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 15:35:53 8,998 อ่าน
TOP