เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
อดุลย์ สั่งเจ้าหน้าที่ขยายผลคดีพาสปอร์ตปลอมในเที่ยวบิน MH370 ของมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ด้านนักวิเคราะห์ ชี้ ไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ
จากเหตุการณ์สายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส เที่ยวบิน MH370 หายไประหว่างการเดินทาง พร้อมกับมีชื่อผู้โดยสาร 2 รายใช้พาสปอร์ตปลอมซึ่งเป็นชื่อของนายลุยจิ มารัลดี้ (Luigi Maraldi) ชาวอิตาลี ที่ได้เดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2556 มีหนังสือเดินทางหมายเลข YA3189197 และนายเชียสตัน โคเซล (Cheiston Kozel) ชาวออสเตรีย ซึ่งเดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2555 มีหนังสือเดินทางหมายเลข T2979523 โดยทั้งสองคนได้แจ้งพาสปอร์ตหายที่ จ.ภูเก็ต ประเทศไทย อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบข้อมูลจากสถานที่ต่าง ๆ เช่น สภ.ภูเก็ต, สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และตำรวจสากล ก็ต่างมีข้อมูลการสูญหายของหนังสือเดินทางทั้ง 2 เล่ม และมีการเชื่อมโยงข้อมูลไปยังฐานข้อมูลตำรวจสากลด้วย
ล่าสุด วันนี้ (10 มีนาคม 2557) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สตม. และสันติบาล ให้ตรวจสอบความคืบหน้าของเรื่องนี้ และให้กองการต่างประเทศประสานงานกับตำรวจมาเลเซียเต็มที่ เพื่อติดตามสอบสวนคดีปลอมแปลงพาสปอร์ต และขยายผลการป้องกันและปราบปราม
ขณะที่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รอง ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ได้สั่งการให้วางระบบการรับแจ้งหนังสือเดินทางหายของทุกสถานีตำรวจ โดยเชื่อมโยงผ่านระบบ CMIS ของศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อจะได้เชื่อมโยงกับระบบ PIBICS ซึ่งเป็นฐานข้อมูลของหมายจับตำรวจสากล
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ได้วิเคราะห์เกี่ยวกับเหตุการณ์การขโมยพาสปอร์ตด้วยว่า สหรัฐอเมริกา จับตามองประเทศไทยมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในการผลิตหนังสือเดินทางปลอม อีกทั้งยังมีการจับกุมเครือข่ายทำพาสปอร์ตปลอมบ่อยครั้ง และแก๊งปลอมหนังสือเดินทางมักเลือกใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่ผิดกฎหมาย แล้วประเทศไทยก็ยังคงเป็นฐานการผลิตพาสปอร์ตปลอมต่อไป หากเจ้าหน้าที่ภาครัฐไม่ยอมเปิดแผนความเข้มข้น เพื่อปราบปรามกลุ่มดังกล่าวอย่างจริงจัง
สำหรับไทยและมาเลเซีย ก็มีการประสานงานกันเสมอในเรื่องแก๊งพาสปอร์ตปลอม โดยตำรวจมาเลเซียสามารถทลายแก๊งขบวนการทำพาสปอร์ตปลอมที่ใหญ่ที่สุดในย่านอาเซียนมาแล้ว มีนายไซเอ็ด รามิน มิราซิส ปักเนจาด ชาวอิหร่าน เป็นหัวหน้า อีกทั้งแก๊งดังกล่าวก็ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดที่สุขุมวิท เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2555 อีกด้วย นอกจากนี้ จากการที่ปฏิบัติการทำพาสปอร์ตปลอมในประเทศไทยเป็นเวลา 5 ปี สามารถขายพาสปอร์ตปลอมและบัตรประชาชนปลอมได้กว่า 3,000 ใบ มีกำไรกว่า 9,000,000 ริงกิต (ประมาณ 8.3 ล้านบาท)
**หมายเหตุ : แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 11 มีนาคม 2557
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก