พรเพชร วิชิตชลชัย ประวัติประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ยุค คสช.

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สภานิติบัญญัติแห่งชาติ

            พรเพชร วิชิตชลชัย ประวัติประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2557 จากกูรูด้านกฎหมายของ คสช. สู่เก้าอี้ประธาน สนช. ผู้ที่จะนำชื่อนายกฯ คนต่อไปขึ้นทูลเกล้าฯ

            พรเพชร วิชิตชลชัย ชื่อนี้ถูกวางให้เป็นตัวเก็งที่จะได้รับเลือกให้นั่งเก้าอี้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มาตั้งแต่รายชื่อ สนช. ยังไม่คลอด และก็เป็นไปตามคาด เมื่อในการประชุม สนช. นัดแรก (8 สิงหาคม 2557) ที่ประชุมก็ได้มีมติเลือก นายพรเพชร วิชิตชลชัย ให้เป็นประธาน สนช. แบบไร้คู่แข่ง ท่ามกลางการจับตาของคอการเมือง เพราะหน้าที่สำคัญของประธาน สนช. ผู้นี้ก็คือ การนำชื่อนายกรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ ลองไปพลิกประวัติ พรเพชร วิชิตชลชัย เพื่อทำความรู้จักกันสักครั้ง

            นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วัย 66 ปี จบการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเนติบัณฑิตไทย จากนั้นได้เรียนต่อปริญญาโทด้านกฎหมายจนจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา

            หลังจากจบการศึกษา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ได้เข้ารับราชการครั้งแรกในตำแหน่งนิติกร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 4 ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ที่ผ่านมาได้ผ่านการฝึกอบรมด้านกฎหมาย ทั้งวิธีดำเนินคดีแพ่งและวิธีดำเนินคดีอาญาจากสหรัฐฯ จนได้รับประกาศนียบัตรชั้นสูง และยังได้รับประกาศนียบัตรทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งจบหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรจากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ. 41)

            ด้วยความรู้ความสามารถที่มี ทำให้นายพรเพชร วิชิตชลชัย ได้เป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมายในคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ภายหลังได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นศาสตราจารย์พิเศษ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

            ในปี 2550 นายพรเพชร วิชิตชลชัย เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในสายข้าราชการตุลาการ ครั้งนั้น นายพรเพชร ได้เสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยให้ความผิดดังกล่าวครอบคลุมถึงการกระทำความผิดต่อพระราชโอรส พระราชธิดา ประธานองคมนตรี องคมนตรี และผู้แทนพระองค์ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และอาจได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่บางประการอันเป็นราชการในพระองค์ ให้การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดและรับโทษหนักขึ้น นอกจากนี้ ยังเสนอให้ออกกฎหมายห้ามเสนอข่าวคดีหมิ่นฯ ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอีกด้วย


            ขณะที่การทำงานในสายตุลาการนั้น นายพรเพชร ถือเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในคดีทางการเมืองหลายคดี โดยเคยทำหน้าที่เป็นองค์คณะในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ตัดสินคดีทุจริตกล้ายาง, เป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตกรณีเอื้อประโยชน์ธุรกิจให้กับกลุ่มชินคอร์ป ที่ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท

            ต่อมาในช่วงปลายปี 2556 นายพรเพชร ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินแทน นายประวิช รัตนเพียร ที่ลาออกไปดำรงตำแหน่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และในการทำงานเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินนั้น นายพรเพชรได้รับสำนวนฟ้องการจัดการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ว่าเป็นโมฆะ ก่อนจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งภายหลังศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การจัดการเลือกตั้งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายจริง

            และเมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้ามาควบคุมอำนาจการปกครอง พร้อมแจกแจงแผนโรดแม็ป 3 ขั้น ซึ่งในระยะที่ 2 จะมีการตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ขึ้นมาพิจารณาร่างกฎหมายต่าง ๆ นั้น ชื่อของ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ คสช. ก็ถูกยกให้เป็นแคนดิเดตที่น่าจะได้รับเลือกให้เป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เคียงคู่มากับ นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของ คสช. อีกคน เพราะมีข่าววงในระบุว่า นายพรเพชรเป็นหนึ่งในคนใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และยังเป็นนักกฎหมายคนแรกที่ พล.อ.ประยุทธ เชิญเข้ามาช่วยงานด้านกฎหมาย อีกทั้งมีส่วนในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวด้วย

            กระทั่งเมื่อมีการเปิดเผยรายชื่อ สนช. 200 คนแรกออกมา แต่กลับไม่ปรากฏชื่อของนายวิษณุ ก็ทำให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่า นายพรเพชร จะได้นั่งเก้าอี้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งจะเป็นผู้นำชื่อนายกรัฐมนตรีคนต่อไปขึ้นทูลเกล้าฯ อย่างแน่นอน และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ





อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก