จ่าพิชิต ย้อนถามเด็กรุ่นใหม่ รู้จักคำว่า จิตอาสาไหม หลังถกปมบริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่ทำไม ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไร นอกจากพระราชทานเพลิงศพเท่านั้น
เมื่อพูดถึงการบริจาคร่างกายเป็น "อาจารย์ใหญ่" ให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษาค้นคว้าเพื่อต่อยอดวิชาทางการแพทย์ให้ก้าวไกลต่อไป ถือเป็นเรื่องน่ายกย่องสำหรับผู้ที่มีจิตอาสา ที่ตั้งใจบริจาคร่างกายโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ทว่ายังมีคนอีกหลายคนที่คิดว่าการบริจาคร่างกายเพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่ ให้นักศึกษาได้ศึกษาค้นคว้านั้น กลับเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ จะบริจาคกันทำไม ในเมื่อไม่ได้อะไรตอบแทนกลับมา
ยกตัวอย่างดังเรื่องที่ เพจเฟซบุ๊ก Drama-addict ของจ่าพิชิต ได้แชร์ข้อความของเด็กคนหนึ่ง ที่มองว่า การบริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่ ไม่ได้ประโยชน์อะไร นอกจากพระราชทานเพลิงศพเท่านั้น ทำไมไม่ให้นักศึกษาแพทย์ที่ต้องการจะเรียนอนาโตมี่ จ่ายเงินซื้อร่างกายผู้เสียชีวิตไปผ่ากันเอาเอง ด้วยเหตุนี้ ทางจ่าพิชิต แอดมินเพจ Drama-addict จึงต้องออกมาย้อนถามเด็กคนดังกล่าวว่า "รู้จักคำว่า จิตอาสาไหม" เนื่องจากมองว่า ความคิดของเด็กคนนี้ เห็นอำนาจเงินสูงสุด ซึ่งเป็นความคิดที่น่าเป็นห่วง และถ้าคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันหันมาคิดแบบนี้ สังคมจะเป็นอย่างไรต่อไป
โดยข้อความทั้งหมดมีดังนี้
"อันนี้เห็นคนแชร์ข้อความมาเยอะ เป็นข้อความจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่พูดถึงเรื่องการบริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่ว่าบริจาคทำไม ได้แค่พระราชทานเพลิงศพเท่านั้น ถ้านักศึกษามันอยากเรียนอนาโตมี่กันจริง ๆ ก็ให้มันจ่ายเงินซื้อร่างกายผู้เสียชีวิตไปผ่ากันเอาเองดิ เพราะผลประโยชน์มันตกอยู่กับนักศึกษาแพทย์ฝ่ายเดียว คนอื่นไม่เห็นมีใครได้รับผลประโยชน์เลย คนไข้ไปรักษากับหมอก็ต้องเสียตังค์ ไม่เห็นจะมีใครรักษาฟรี อย่างว่าใคร ๆ ก็อยากได้เงินทั้งนั้น ครอบครัวของอาจารย์ใหญ่ก็เหมือนกัน ถ้าอยากผ่าอาจารย์ใหญ่ก็เอาเงินไปซื้อร่างคนมาทำจารย์ใหญ่ดิวะ
อันนี้เป็นความคิดที่น่ากลัวฉิบหาย คือพี่แกมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ต้องขับเคลื่อนด้วยเงินทั้งหมดเลย โอเค เงินสำคัญจริงเราไม่เถียง แต่นอกเหนือจากการใช้เงินบันดาลหรือขับเคลื่อนสังคมแล้ว มันยังมีสิ่งที่เรียกว่า จิตอาสา อยู่ด้วย พูดง่าย ๆ คือการทำเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน โดยหวังว่าคนที่ได้รับไปจะทำสิ่งนั้นต่อกับผู้อื่น หรือที่เรียกว่า pay it forward นั่นเอง
บรรดาหมอ ๆ ที่เรียนกับอาจารย์ใหญ่จนสำเร็จการศึกษา ก็ใช่ว่าจะออกมาทำมาหากินแสวงหาแต่เงินอย่างเดียวทุกคน ไอ้ที่ยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานงก ๆ ใน รพ.รัฐ ทั้ง ๆ ที่รายได้ก็ไม่ได้มากมายอะไร ไม่ถึงครึ่งของรายได้ขั้นต่ำที่เอกชนรับประกันไว้ด้วยซ้ำ ก็มีอยู่เยอะแยะ ไม่ใช่แค่อาชีพหมอ อาชีพอื่นไม่ว่าจะพยาบาล ทหาร ครู ตำรวจ ไอ้ที่ทำงานงก ๆ รายได้น้อยนิด แต่อยู่กันด้วยจิตอาสาก็มีเยอะแยะ
ถ้ามองทุกอย่างเป็นเรื่องของเม็ดเงินทั้งหมด จนคนรุ่นต่อ ๆ ไปคิดว่าเงินคือทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องทำทุกทางเพื่อให้ได้เงินมาให้มากที่สุด สุดท้ายมันจะกลายเป็นว่าคนที่มีเงินมากกว่า ก็จะเอาเงินฟาดหัวแย่งชิงทรัพยากรจากคนที่มีน้อยกว่าไปซะหมด
เช่น นักศึกษาแพทย์กลุ่มนี้เงินเยอะกว่าโว้ย กรูเอาเงินฟาดหัวแม่งซื้อร่างคนมาทำอาจารย์ใหญ่ ไอ้พวกที่ไม่มีเงินหรือเงินน้อยกว่า มึงก็โง่กันต่อไป ไม่ต้องเรียนอนาโตมี่กันหรอกพวกมึงน่ะ
หรือถ้ามองในแง่ของการบริจาคอวัยวะช่วยเหลือผู้ป่วย สมมุติมีคนที่ต้องการปลูกถ่ายตับเหมือนกันสองราย รายนึงเงินเยอะกว่า ก็เอาเงินไปซื้ออวัยวะ หรือเอาเงินไปยัดให้แซงคิวได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะตัดหน้า แบบนี้มันจะดีแล้วจริง ๆ เหรอวะ ไม่อยากนึกเลยว่าสังคมรูปแบบนั้นมันจะเละเฟะขนาดไหน
การให้แก่ผู้อื่นโดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทนใด ๆ ที่จะตกแก่ตัวเรา ก็เป็นทางหนึ่งที่จะช่วยให้สังคมเราไม่เดินไปในทิศทางนั้น
สรุปว่า "pay it forward กันนะครับ"
ทั้งนี้หลังจากข้อความดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับความเห็นของจ่าพิชิต แต่ก็มีไม่น้อยที่มองต่างออกไป โดยมองว่าไม่ผิดอะไรหากบางคนที่อยากได้เงินจากร่างกายตัวเอง และอาจเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยที่รอคอยอวัยวะจะได้คิวเร็วขึ้นด้วย เพราะมีคนเข้าคิวบริจาคมากขึ้น ดังนั้นคนที่ต้องการเงินได้เงิน คนที่ต้องการบุญได้บุญ คนที่รอคอยก็ได้อวัยวะเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก็มีความคิดเห็นของชาวเน็ตบางรายมองว่า การขายร่างกาย ถือว่าผิดกฎหมาย และไม่มีประเทศที่เจริญแล้วที่ไหนในโลกเค้าทำกันด้วย
ข้อมูลและภาพจาก เฟซบุ๊ก Drama-addict