ศาลฎีกาสั่งจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา เสี่ยขาว ผู้บริหารซานติก้าผับ

เสี่ยขาว ผู้บริหารซานติก้าผับ

           ศาลฎีกา พิพากษาแก้จำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา เสี่ยขาว ผู้บริหารซานติก้าผับ รวมถึงกรรมการบริษัทโฟกัสไลท์ฯ ผู้ติดตั้งเอฟเฟกต์ ชี้เป็นการกระทำโดยประมาท ทำให้มีผู้เสียชีวิตในคดีไฟไหม้ซานติก้าผับ ปลายปี 51 ถูกคุมตัวส่งเรือนจำแล้ว

           เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2558 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีเพลิงไหม้ซานติก้าผับ ที่มีผู้เสียชีวิต 67 คน บาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัส 103 คน ซึ่งทางพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 และญาติผู้เสียชีวิตรวมถึงผู้บาดเจ็บ 57 ราย ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องจำเลย 7 ราย ดังรายชื่อต่อไปนี้

           - นายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ หรือเสี่ยขาว กรรมการผู้จัดการบริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส (2003) จำกัด ผู้บริหารซานติก้าผับ จำเลยที่ 1
           - นายธวัชชัย ศรีทุมมา ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ จำเลยที่ 2
           - นายพงษ์เทพ จินดา ผู้จัดการฝ่ายบันเทิง จำเลยที่ 3
           - นายวุฒิพงศ์ ไวลย์ลิกรี ผู้จัดการฝ่ายการตลาด จำเลยที่ 4
           - นายสราวุธ อะริยะ นักร้องวงเบิร์น ผู้จุดพลุไฟ จำเลยที่ 5
           - บริษัท โฟกัสไลท์ ซาวน์ซิสเต็ม จำกัด ซึ่งรับจ้างติดตั้งการทำเอฟเฟกต์ ซานติก้าผับ จำเลยที่ 6
           - นายบุญชู เหล่าสีนาท กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท โฟกัสไลท์ฯ จำเลยที่ 7


           ในความผิดฐานผู้ใดทำให้เกิดเพลิงไหม้เป็นเหตุให้ผู้อื่นทรัพย์สินเสียหายและเป็นอันตรายกับชีวิตผู้อื่น, ผู้ใดกระทำการประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ผู้ใดกระทำการให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และผู้ใดกระทำการให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ตามประมวลกฎหมาย มาตรา 225,  291, 300, 390 และกระทำผิด พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ. 2509 มาตรา 16/1, 16/3.27 และ 28/1 ฐานเป็นผู้รับอนุญาตตั้งสถานบริการปล่อยปละละเลยให้บุคคลซึ่งอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าไปในสถานบริการ และปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานบริการ มาตรา 291

           โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า จำเลยที่ 1, 6 และ 7 เป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เป็นความผิดกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม มาตรา 291 ที่เป็นบทหนักสุด สั่งจำคุก นายวิสุข หรือ เสี่ยขาว จำเลยที่ 1 และนายบุญชู เหล่าสีนาท จำเลยที่ 7 คนละ 3 ปี และปรับบริษัท โฟกัสไลท์ฯ จำเลยที่ 6 รวม 20,000 บาท โดยให้จำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 7 ร่วมกันชดใช้โจทก์ร่วมที่ 4-8 ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต เป็นเงิน 8.7 ล้านบาท ส่วนจำเลยที่ 2-5 ยกฟ้อง

           ต่อมาจำเลยที่ 1, 6-7 ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง โดยโจทก์ยื่นอุทธรณ์ในส่วนของ นายสราวุธ อะริยะ นักร้องวงเบิร์น ผู้จุดพลุไฟจำเลยที่ 5 ซึ่งศาลชั้นต้นยกฟ้อง ขณะที่โจทก์ร่วมได้ยื่นอุทธรณ์ส่วนค่าเสียหาย โดยในครั้งนั้นศาลอุทธรณ์ มีคำตัดสินพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้อง นายวิสุข หรือเสี่ยขาว จำเลยที่ 1 ทุกข้อหา เนื่องจากไม่ใช่ผู้ที่กระทำประมาทโดยตรงที่จะทำให้เหตุเพลิงไหม้ ลำพังที่จะฟังว่าให้กลุ่มนักท่องเที่ยวเข้าไปในสถานบันเทิงเกิน 500 คนก็ฟังไม่ได้ ซึ่งหากจำเลยที่ 1 จะมีพฤติการณ์ดังกล่าวก็เป็นเรื่องของการไม่ได้ติดแบบแปลนแผนผังของอาคาร ป้ายบอกทางหนีไฟ และติดไฟฉุกเฉินให้เพียงพอ ที่เป็นข้อปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดนั้นสืบเนื่องจากการจุดเอฟเฟกต์ด้วยไฟฟ้าที่หน้าเวทีที่จำเลยที่ 6-7 ดูแล และพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องนายสราวุธ นักร้องวงเบิร์น จำเลยที่ 5

           ขณะที่พิพากษายืนจำคุกจำเลยที่ 7 เป็นเวลา 3 ปี และปรับจำเลยที่ 6 จำนวน 20,000 บาท โดยให้จำเลยที่ 6 กับจำเลยที่ 7 ชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 4-8 รวม 5 รายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต เป็นเงิน 8.7 ล้านบาท

           ต่อมาโจทก์ยื่นฎีกาขอให้พิพากษาลงโทษ นายวิสุข หรือเสี่ยขาว จำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 7 ยื่นฎีกาขอให้ยกฟ้อง ซึ่งศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว พบว่าเหตุเพลิงไหม้เกิดจากดอกไม้เพลิงของนายบุญชู จำเลยที่ 7 ที่ติดตั้งอยู่ที่หน้ากลองชุดของวงดนตรีที่อยู่ในงาน เมื่อมีการทำฉากเอฟเฟกต์ในร้านเกิดเหตุจึงทำให้เกิดเพลิงไหม้ดังกล่าว


           ส่วนบริษัท โฟกัสไลท์ฯ จำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นนิติบุคคลนั้น เมื่อนายบุญชู จำเลยที่ 7 เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยในการรับจ้างติดตั้งดอกไม้เพลิงดังกล่าวตามวัตถุประสงค์ จึงถือว่าเป็นการกระทำของจำเลยที่ 6 ด้วย ซึ่งการกระทำของจำเลยที่ 7 เป็นความผิดอาญาแม้จะเป็นการกระทำโดยประมาท บริษัทจำเลยที่ 6 ก็ต้องรับโทษเช่นกัน ฎีกาของจำเลยที่ 6-7 จึงฟังไม่ขึ้น

           สำหรับ นายวิสุข จำเลยที่ 1 แม้จะไม่ได้มีชื่อเป็นผู้แทนบริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส (2003) จำกัด ที่เป็นเจ้าของร้าน แต่เป็นผู้บริหารร้านเกิดเหตุตามความเป็นจริง และการที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้จัดให้มีไฟฉุกเฉินของทางหนีไฟ ขณะที่ประตูเข้า-ออก ทางด้านหน้าร้าน ซึ่งเป็นประตูหลักเพียงประตูเดียว มีความกว้างเพียง 2 เมตร 30 เซนติเมตร ไม่พอที่จะระบายคนเกือบ 1,000 คนให้ทันแก่เหตุการณ์ เมื่อมีผู้ถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้ จำเลยที่ 1 จึงได้ชื่อว่ากระทำโดยประมาทด้วย

           ด้วยเหตุนี้ศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องกับคำพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 ของศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 3 ปี ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ตามมาตรา 291 ที่เป็นบทหนักสุด

           ส่วนนายบุญชู จำเลยที่ 7 พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้จำคุก 3 ปีตามมาตรา 291 และปรับบริษัท โฟกัสไลท์ ฯ จำเลยที่ 6 เป็นเงิน 20,000 บาท และให้บริษัทจำเลยที่ 6 กับจำเลยที่ 7 ร่วมกันชดใช้โจทก์ร่วมที่ 4-8 ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต เป็นเงิน 5,120,000 ล้านบาท

           ทั้งนี้เมื่อคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว ผู้สื่อข่าวมีรายงานว่าในขณะนี้ นายวิสุข ผู้บริหารซานติก้าผับ จำเลยที่ 1 และนายบุญชู กรรมการบริษัท โฟกัสไลท์ฯ จำเลยที่ 7 ได้ถูกคุมขังในเรือนจำ รับโทษตามคำพิพากษาที่ให้จำคุกคนละ 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา

ภาพจาก springnews

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก


เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ศาลฎีกาสั่งจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา เสี่ยขาว ผู้บริหารซานติก้าผับ อัปเดตล่าสุด 5 พฤศจิกายน 2558 เวลา 17:59:43 33,285 อ่าน
TOP
x close