

เปิดบทสัมภาษณ์ของเหยื่อผู้รอดชีวิตจากเหตุกราดยิงในออร์แลนโด ชายผู้ปิดประตูเชื่อมทางออกทั้งที่เหตุกำลังโกลาหล เพื่อให้คนที่หนีก่อนรอดออกไปได้ เผยรู้สึกผิดจนนอนไม่หลับ แต่สถานการณ์คับขันบังคับให้ต้องทำเช่นนั้น
หลังจากเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2559 เกิดเหตุโศกนาฏกรรมสุดสะเทือนขวัญ มือปืนอุกอาจบุกกราดยิงคนในบาร์เกย์เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา ของสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้มีประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตสังเวยไปร่วมครึ่งร้อย และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดี แม้ว่านายโอมาร์ มาทีน มือปืนผู้ก่อเหตุ จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญจนถึงแก่ชีวิตไปแล้ว แต่โศกนาฏกรรมนี้ยังคงสร้างความโศกเศร้าให้กับบรรดาญาติ ๆ และครอบครัวของเหยื่อผู้เสียชีวิต รวมไปถึงเหยื่อที่รอดชีวิตมาได้ด้วย
หลุยส์ เล่าว่า หลังจากได้ยินเสียงปืน เขาก็ได้หนีตามคนอื่น ๆ ผ่านไปทางประตูพนักงานที่อยู่ด้านหลังของผ้าม่านซึ่งเป็นทางเชื่อมไปยังโถงทางเดินแคบ ๆ ไปสู่ทางออก แต่เมื่อเขาไปถึงโถงทางเดิน ก็เห็นผู้คนจำนวนมากคลานก่ายเกยเบียดกันอย่างชุลมุนเพื่อแย่งกันไปยังทางออก ในตอนนั้นเขาได้ยินเสียงปืนดังขึ้นและเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดจึงตัดสินใจดึงประตูให้ปิดไว้ราว ๆ 10-15 วินาที แม้ว่าจะมีผู้คนร้องขอให้เปิดก็ตาม แต่เขาก็ต้องจำใจเนื่องจากสถานการณ์บีบคั้น จนกระทั่งผู้ที่หนีรอดออกมาก่อนหลบหนีไปยังที่ปลอดภัยได้
ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงตอนนี้ หลุยส์ เผยว่าตัวเขานอนไม่หลับ แทนที่จะรู้สึกโชคดีที่รอดออกมาได้ ตรงกันข้ามกลับมีแต่ความรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา เชื่อว่าหากใครที่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้กับตัว ก็คงไม่มีทางรู้เลยว่าต้องตัดสินใจทำอย่างไร และยอมรับว่าตนรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างที่สุด
ขณะที่ ด้าน นายจาเนียล กอนซาเลซ ผู้รอดชีวิตอีก 1 ราย เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวของ ABC ว่า ขณะนั้นเขาก็เป็นอีก 1 คนที่พยายามจะหนีเข้าทางประตูเชื่อมนั้นเพื่อไปยังทางออก หลังจากเห็นผู้คนจำนวนมากหนีไปด้านหลังม่านไปเจอประตู ภาพที่เขาเห็นตอนนั้นคือผู้คนกว่า 50 ชีวิตพากันหนีตายพยายามกระโดดข้ามตัวกันเพื่อแย่งกันไปถึงทางออก แต่แล้วก็ไม่สามารถออกไปได้ เนื่องจากมีชายคนหนึ่งดึงประตูล็อกไว้ไม่ให้คนด้านในออกไป พร้อมกับตะโกนบอกว่า "ให้อยู่ข้างใน" โดยขณะนั้นเสียงปืนก็เริ่มดังขึ้น และใกล้เข้ามาทุกที ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็เริ่มมีอาการสติแตกด้วยความกลัว พร้อมกับร้องตะโกนบอกทางด้านนอกให้เปิดประตูปล่อยพวกเขาออกไปที
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Luis Burbano III