ดีเอสไอแถลงผลสอบคดีรถหรู จ่อเรียกเก็บภาษีที่ขาด จากรถ 8 คัน รวมถึงเบี้ยปรับสูงสุด 12 ล้านบาท พร้อมดำเนินคดีอาญากับผู้เกี่ยวข้องฐานเลี่ยงภาษี ด้านรถเบนซ์หรูสมเด็จช่วง ยังอยู่ระหว่างรอประเมินภาษีที่ขาด ส่วนรถหรูโบราณของ หลวงพี่น้ำฝน กำลังสอบขยายผลผู้เกี่ยวข้อง
วันที่ 1 สิงหาคม 2559 พ.ต.อ. ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), พ.ต.ท. กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวกรณีขบวนการลักลอบนำรถยนต์จดประกอบจากอุปกรณ์ชิ้นส่วนเก่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายฯ (รถหรู) ว่า หลังจากดีเอสไอได้ตรวจสอบรถยนต์จดประกอบจากอุปกรณ์ชิ้นส่วนเก่าที่มีมูลค่าสูงตั้งแต่ 4 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 548 คัน พร้อมดำเนินการส่งให้กรมศุลกากร เพื่อพิจารณาเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม ตามมาตรา 6 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 จำนวน 236 คัน
ด้าน พ.ต.ท. กรวัชร์ ปานประภากร เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอ ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนกับขบวนการในส่วนของผู้นำเข้ารถยนต์ที่ผิดกฎหมายแล้ว พบว่า เป็นกลุ่มของ
- บริษัท สบายใจจดประกอบ จำกัด
- ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.โพธิ์ทอง
- บริษัท เอส.อาร์.เจ แมชชีนเนอรี่ จำกัด
- บริษัท จัสเต้ จำกัด
- บริษัท เอ็ม.เอ็น.อะไหล่เก่า จำกัด
ทาง พ.ต.อ. ไพสิฐ กล่าวถึงกรณีรถยนต์จดประกอบเลี่ยงภาษีทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ที่มีชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ว่า ที่ประชุมร่วมกับอัยการได้พิจารณาร่วมกันแล้ว และขณะนี้ต้องรอประเมินภาษีจากกรมสรรพสามิต ซึ่งมีกำหนดชัดเจนแล้วแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนนรถจากัวร์ แพนเธอร์ ในความครอบครองของพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน ของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ
โดยหลังจากนี้ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะเร่งออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องมาดำเนินคดี และจากการสืบสวนยังทราบว่า ตัวการเจ้าของบริษัทที่แท้จริง คือ เสี่ย ก. ซึ่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะเร่งรัดขยายผลให้ถึงตัวการโดยเร็วต่อไป
ขณะที่ผู้ครอบครองรถยนต์จดประกอบ หากเป็นผู้ครอบครองรถยนต์โดยสุจริต เป็นการซื้อจากสถานที่ขายรถโดยวิญญูชนทั่วไป เช่น โชว์รูม เต็นท์ขายรถมือสองหรือการซื้อขายระหว่างคู่สัญญาในราคาตามท้องตลาด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นพ้องตรงกันว่า เข้าข่ายเป็นผู้เสียหายจะไม่ต้องถูกดำเนินคดีอาญา เว้นแต่การซื้อขายรถยนต์ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงอันผิดปกติเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเข้าประเทศ การซื้อขายในสถานที่อันมิใช่สถานจำหน่ายรถยนต์ การครอบครองโดยมีส่วนร่วมในขบวนการนำเข้าของหรือมีส่วนร่วมในขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใดในขบวนการจดประกอบรถซึ่งส่อไปในทางไม่สุจริต
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับรถยนต์ 8 คัน ที่กรมศุลกากร เตรียมเรียกเก็บภาษีที่ขาดย้อนหลัง เป็นเงินทั้งสิ้น 3,067,546.58 บาท ประกอบด้วย
1. ทะเบียน กย 4559 นนทบุรี เรียกเก็บค่าภาษีที่ขาด รวมเป็นเงิน 223,305.18 บาท
2. ทะเบียน กท 1097 อยุธยา เรียกเก็บค่าภาษีที่ขาด รวมเป็นเงิน 234,347.88 บาท
3. ทะเบียน กย 2966 นนทบุรี เรียกเก็บค่าภาษีที่ขาด รวมเป็นเงิน 444,060.70 บาท
4. ทะเบียน กต 7298 สระบุรี เรียกเก็บค่าภาษีที่ขาด รวมเป็นเงิน 743,650.00 บาท
5. ทะเบียน ญฮ 3483 กรุงเทพฯ เรียกเก็บค่าภาษีที่ขาด รวมเป็นเงิน 491,140.70 บาท
6. ทะเบียน กย 5870 นนทบุรี เรียกเก็บค่าภาษีที่ขาด รวมเป็นเงิน 223,305.18 บาท
7. ทะเบียน กย 2506 นนทบุรี เรียกเก็บค่าภาษีที่ขาด รวมเป็นเงิน 484,431.77 บาท
8. ทะเบียน กย 3902 นนทบุรี เรียกเก็บค่าภาษีที่ขาด รวมเป็นเงิน 223,305.17 บาท
ทั้งนี้ ในชั้นการดำเนินคดีอาญารถยนต์ทั้ง 8 คัน จะต้องถูกเรียกเก็บภาษีพร้อมเบี้ยปรับสูงสุด 12 ล้านบาท
ภาพจาก brighttv
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
