วันดำรงราชานุภาพ ตรงกับวันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เพื่อรำลึกถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ บุคคลไทยพระองค์แรกที่ยูเนสโกยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในฐานะพระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย
ประวัติวันดำรงราชานุภาพ
แรกเริ่มนั้น วันดำรงราชานุภาพ กำหนดให้ตรงกับวันที่ 21 มิถุนายน ของทุกปี เพื่อระลึกถึงวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งทรงเป็นกำลังสำคัญของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในการพัฒนาประเทศให้ได้รับความเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะด้านวงการการศึกษาของไทยที่ทรงเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งกรมศิลปากร ราชบัณฑิตยสภา พิพิธภัณฑสถาน หอสมุดพระนคร อีกทั้งได้ทรงนิพนธ์หนังสือที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ไว้มากกว่า 650 เรื่อง จึงทรงได้รับการถวายพระนามว่า "พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย"
ภายหลังได้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ โดยกำหนดให้วันดำรงราชานุภาพ ตรงกับวันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปีแทน เพื่อระลึกถึงวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์
ภาพจาก : สถาบันดำรงราชานุภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
พระประวัติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประสูติเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2405 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 57 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชุ่ม โดยมีพระอิสริยยศคือ "พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร"
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงศึกษาภาษาไทยชั้นต้นจากสำนักคุณแสง และคุณปาน ภายในพระบรมมหาราชวัง ทรงศึกษาภาษาบาลีจากสำนักพระยาปริยัติธรรมธาดา (เปี่ยม) และหลวงธรรมนุวัติจำนง (จุ้ย) และทรงศึกษาภาษาอังกฤษจากสำนักโรงเรียนหลวง ซึ่งมีนายฟรานซิส ยอร์ซ แปทเตอร์สัน เป็นอาจารย์ จากนั้นทรงศึกษาวิชาทหารในสำนักหลวงรัฐรณยุทธ์และเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนนายร้อย กรมมหาดเล็ก จนสำเร็จการศึกษาเมื่อพระชนมายุ 15 พรรษา และได้รับพระราชทานยศเป็นนายร้อยตรีทหารมหาดเล็ก บังคับกองแตรวง
ภาพจาก : สถาบันดำรงราชานุภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงได้รับพระราชทานยศเลื่อนขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่นายร้อยโท ผู้บังคับการทหารม้า, นายร้อยเอก ราชองค์รักษ์ประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, นายพันตรี ผู้สนองพระบรมราชโองการ ว่าการกรมทหารมหาดเล็ก, นายพันโท ผู้บังคับการทหารมหาดเล็ก กระทั่งปี พ.ศ. 2429 ได้รับการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระสุพรรณบัฏ และทรงประกาศแต่งตั้งให้ดำรงพระอิสริยยศ เป็น "กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ" จากนั้นในปีถัดมา ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้บัญชาการทหารบก ก่อนจะได้รับพระราชทานยศเป็นนายพลต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว ทรงจัดตั้งกระทรวงธรรมการ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีกระทรวงธรรมการ ต่อมาจึงโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงเสนาบดี กระทรวงมหาดไทย และได้รับการเลื่อนพระอิสริยยศเป็น "กรมหลวงดำรงราชานุภาพ" ในปี พ.ศ. 2442 จากนั้นในปี พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระอิสริยยศ เป็น "กรมพระดำรงราชานุภาพ"
กรมพระดำรงราชานุภาพ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เป็นเวลานานถึง 23 ปี กระทั่งประชวรจึงได้ทรงลาออกจากตำแหน่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีที่ปรึกษากระทรวงมหาดไทย เมื่อทรงรักษาอาการจนพระวรกายเป็นปกติแล้วจึงทรงเข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่งในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมุรธาธร และได้รับพระราชทานยศเป็นพลเอก
ภาพจาก : สถาบันดำรงราชานุภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทูลเสนอพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ทรงก่อตั้งราชบัณฑิตยสภาขึ้น จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดำรงตำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสภาพระองค์แรก ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับหอสมุดพระนคร และพิพิธภัณฑสถาน กระทั่งในปี พ.ศ. 2472 ทรงได้รับพระราชทานพระอิสริยยศพระบรมวงศ์ต่างกรมเป็น "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ" ซึ่งนับว่าเป็นตำแหน่งสูงที่สุดสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์
ภายหลังเมื่อเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้นในปี พ.ศ. 2475 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จไปประทับที่เกาะปีนัง เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายทางการเมือง ต่อมาเสด็จกลับประเทศไทยมาประทับที่วังวรดิศ พระองค์ประชวรด้วยพระโรคพระหทัยพิการ และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2486 รวมพระชนมายุได้ 81 พรรษา
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นต้นราชสกุลดิศกุล มีหม่อม 11 ท่าน มีพระโอรสและพระธิดา รวม 37 พระองค์ พระองค์ยังทรงเป็นต้นราชสกุลดิศกุล
ภาพจาก : สถาบันดำรงราชานุภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
พระกรณียกิจ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นกำลังสำคัญของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในการพัฒนาประเทศให้ได้รับความเจริญก้าวหน้าในหลาย ๆ ด้าน อาทิ..
ด้านการเมืองการปกครอง
ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเป็นพระองค์แรก อีกทั้งทรงริเริ่มก่อตั้งกระทรวงมหาดไทยและดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเป็นพระองค์แรก และทรงดำรงตำแหน่งเป็นเวลานานถึง 23 ปี
โดยพระกรณียกิจสำคัญคือการปฏิรูปการปกครอง ซึ่งในสมัยนั้นประเทศไทยยังปกครองแบบมีหัวเมืองประเทศราช ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมองเห็นจุดอ่อนว่าอาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียเอกราชได้อย่างง่ายดาย จึงมอบนโยบายให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ รับมาปฏิบัติ โดยแก้ลักษณะการปกครองแบบประเทศราช มาเป็นพระราชอาณาจักรของประเทศไทยรวมกัน กระทั่งทรงริเริ่มการปกครองในแบบมณฑลเทศาภิบาลปกครองท้องที่ คือ ยกเลิกหัวเมืองประเทศราชทั้งหมด มาจัดตั้งหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เมือง และมณฑล เพื่อให้เกิดเอกภาพในการบริหารประเทศ ได้ทรงริเริ่มจัดตั้ง "การสุขาภิบาลหัวเมือง" โดยเริ่มที่ตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร เป็นแห่งแรก และนับเป็นการปูพื้นฐานการปกครองส่วนท้องถิ่น
นอกจากนี้ยังทรงก่อตั้งโรงเรียนข้าราชการฝ่ายปกครองของมณฑลเทศาภิบาล เพื่อผลิตบุคลากรในการปกครอง ซึ่งโรงเรียนแห่งนี้ต่อมาได้พัฒนาเป็นโรงเรียนมหาดเล็ก โรงเรียนข้าราชการพลเรือน และเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นอกจากพระกรณียกิจด้านการปฏิรูปการปกครองในประเทศแล้ว ยังทรงเป็นที่ปรึกษาสำคัญของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการทำให้ประเทศรอดพ้นจากการเป็นประเทศราชของต่างชาติในยุคแห่งการล่าอาณานิคม พระองค์ทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างมาก ถึงขนาดตรัสชมว่า ทรงเป็นเสมือน "เพชรประดับพระมหาพิชัยมงกุฎ"
ภาพจาก : สถาบันดำรงราชานุภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
ด้านการสาธารณสุข
ทรงรับภาระในการจัดการโรงเรียนแพทย์ต่อจากพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ ทรงมีพระดำริริเริ่มให้มีโอสถศาลา สำหรับรับหน้าที่ผลิตยาแจกจ่ายให้ราษฎรในตำบลห่างไกล ซึ่งปัจจุบันคือ สถานีอนามัย และทรงจัดตั้งปาสตุรสภา สถานที่ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งในปัจจุบันโอนไปอยู่ในสังกัดของสถานเสาวภา สภากาชาดไทย อีกทั้งยังทรงก่อตั้งโรงพยาบาลในท้องถิ่นทุรกันดาร และทรงริเริ่มก่อตั้งกรมพยาบาลขึ้น ซึ่งปัจจุบันคือกระทรวงสาธารณสุข
นอกจากนี้พระองค์ยังทรงรับพระราชกิจด้านงานสรรพากร และงานอุตสาหกรรมโลหกิจ ซึ่งเป็นแนวทางพัฒนางานมาจนถึงปัจจุบันด้วย
ภาพจาก : สถาบันดำรงราชานุภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
ด้านการศึกษา ประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรม
ทรงเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบพระองค์แรก ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ตั้งขึ้นเพื่อฝึกสอนทหารภายในกรมทหารมหาดเล็ก ภายหลังมีผู้คนสนใจมาสมัครเรียนเป็นจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนเป็นโรงเรียนสำหรับประชาชนโดยทั่วไป สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงดำเนินการด้วยพระองค์เองทุกอย่าง ตั้งแต่ทรงร่างหลักสูตร เป็นครูผู้สอน ร่างข้อสอบ ดำเนินการสอบ ตรวจข้อสอบ และเมื่อนักเรียนศึกษาสำเร็จ พระองค์ก็ทรงจัดทำประกาศนียบัตรด้วยพระองค์เอง
พระองค์ยังทรงริเริ่มก่อตั้งกรมธรรมการขึ้นมาเพื่อดูแลการศึกษาโดยตรง และทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมธรรมการพระองค์แรก (ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ) ซึ่งได้พัฒนางานทางด้านการศึกษาให้ก้าวหน้า อีกทั้งยังทรงเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งสถานที่ที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษาหลายแห่ง เช่น กรมศิลปากร พิพิธภัณฑสถาน หอสมุดพระนคร ราชบัณฑิตยสภา
ภาพจาก : สถาบันดำรงราชานุภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
ระหว่างที่ทรงดำรงตำแหน่งนายกบัณฑิตยสภา ทรงอนุรักษ์และชำระหนังสือสำคัญทางประวัติศาสตร์ไว้เป็นจำนวนมากเพื่อให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมทั้งทรงอุทิศเวลานิพนธ์หนังสือที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ไว้มากกว่า 650 เรื่อง ได้แก่ ประวัติบุคคลสำคัญมากที่สุดถึง 180 เรื่อง รองลงมา ได้แก่ การศึกษา ขนบธรรมเนียมประเพณี 146 เรื่อง ศิลปะวรรณคดี 111 เรื่อง ประวัติศาสตร์โบราณคดี 103 เรื่อง ภูมิศาสตร์การท่องเที่ยว 74 เรื่อง นอกจากนี้ยังมีกวีนิพนธ์ วรรณคดีอีกจำนวนหนึ่ง อันเป็นมรดกทางปัญญาของชาวโลกมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ด้วยพระปรีชาสามารถดังที่ได้กล่าวมาล้วนเป็นที่ประจักษ์ในในพระอัจฉริยภาพ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงเป็นบุคคลไทยพระองค์แรกที่ได้รับการยกย่องจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกเมื่อปี พ.ศ. 2505 และทรงได้รับการถวายพระนามว่า "พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย" ภายหลังกระทรวงมหาดไทยได้จัดสร้างพระราชานุสาวรีย์ ในลักษณะประทับนั่งบริเวณด้านหน้าศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย ถนนอัษฎางค์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ
ภาพจาก : หอสมุดดำรงราชานุภาพ
ขณะที่ "วังวรดิศ" พระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2454 ในรูปแบบสถาปัตยกรรมเรเนสซองส์ ปัจจุบันได้เปิดบางส่วนเป็นพิพิธภัณฑ์วรดิศ เพื่อแสดงให้เห็นการดำเนินชีวิตของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ภายในที่พักของพระองค์ และยังมีการจัดสร้าง "หอสมุดดำรงราชานุภาพ" ขึ้น เพื่อเป็นห้องสมุดที่เก็บรวบรวมหนังสือหายาก ซึ่งพระองค์ทรงสะสมไว้ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ประมาณ 7,000 เล่ม เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ซึ่งเป็นทายาทองค์หนึ่ง ได้รับมรดกส่วนที่เป็นหนังสือทั้งหมด รวมทั้งสิ่งของมีค่าต่าง ๆ ตลอดจนภาพถ่ายส่วนพระองค์ และได้ประทานให้เป็นสมบัติของชาติ โดยขอให้กรมศิลปากรจัดตั้งเป็นห้องสมุด เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระบิดาให้คงอยู่คู่ประเทศชาติต่อไป
เมื่อปี พ.ศ. 2527 วังวรดิศ ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยาม และได้รับการเสนอโดยองค์การยูเนสโก ประจำภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ให้ร่วมอนุรักษ์เป็นอาคารประวัติศาสตร์โลก ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของหม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ปนัดดา (เหลน) ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ภาพจาก : หอสมุดแห่งชาติ
กิจกรรมในวันดำรงราชานุภาพ
ทุกปีหน่วยงานต่าง ๆ ที่สังกัดกระทรวงมหาดไทย จะจัดงานในจังหวัดของตนเอง เพื่อน้อมรำลึกถึงองค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ผู้ทรงบำเพ็ญประโยชน์ต่อประเทศชาตินานัปการ
โดยที่กระทรวงมหาดไทย จะมีพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประกอบพิธีสงฆ์เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลถวายแด่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตลอดจนผู้มีพระคุณและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงมหาดไทยที่ล่วงลับไป นอกจากนี้ยังมีการมอบรางวัลและประกาศเกียรติคุณแก่ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยที่ทำความดี พร้อมกับพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน
อ่านบทความวันสำคัญอื่น ๆ
ขอบคุณภาพจาก : หอสมุดดำรงราชานุภาพ, สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย, สถาบันดำรงราชานุภาพ