วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล ตระหนักถึงปัญหาความรุนแรง การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยริบบิ้นสีขาวและการสร้างโลกสีส้ม
ความรุนแรงในผู้หญิงและเด็ก ถือเป็นปัญหาเรื้อรังที่หยั่งรากลึกในทุกสังคม ไม่ว่าจะด้วยค่านิยม กฎหมาย หรือแม้กระทั่งศาสนา ในทุก ๆ ปี เราจึงเห็นกลุ่มคนออกมาเคลื่อนไหวรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรี และมีแคมเปญต่าง ๆ ออกมาเพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อต้านความรุนแรง โดยเรียกวันดังกล่าวว่า "วันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล" (International Day for the Elimination of Violence against Women) ที่องค์การสหประชาชาติรับรองให้วันดังกล่าวเป็นวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี สำหรับใครที่อยากทราบความเป็นมา และกิจกรรมในวันดังกล่าว วันนี้กระปุกดอทคอมได้นำข้อมูลมาฝากทุกคนกัน
ความเป็นมาของ ริบบิ้นขาว (White Ribbon) นำมาสู่วันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล
จุดเริ่มต้นของการวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากลมาจากการตระหนักถึงความรุนแรงต่อสตรี
หลังเหตุการณ์สังหารนักเคลื่อนไหวทางการเมืองสตรีชาวโดมินิกัน 3 คน
คือ แพทริเซีย มาเรีย และมิเนอร์วา ในคืนวันที่ 25 พฤศจิกายน 2504 สาเหตุมาจากเหตุผลทางการเมือง ก่อนที่ปี พ.ศ. 2534
ได้เกิดเหตุสังหารหมู่นักศึกษาหญิงของมหาวิทยาลัยมอนทรีออล ประเทศแคนาดา
จำนวน 14 คน หลังจากเหตุการณ์นั้นส่งผลให้กลุ่มผู้ชายกว่า 1,000,000 คน
ตระหนักถึงความสำคัญต่อปัญหาความรุนแรงต่อสตรี และต้องการยุติปัญหาดังกล่าว
จึงรณรงค์ให้ผู้ชายทั่วโลกร่วมรับผิดชอบต่อปัญหาความรุนแรงต่อสตรี
และแสดงตนว่าจะไม่เป็นผู้กระทำความรุนแรงต่อสตรี
โดยการติดสัญลักษณ์ริบบิ้นสีขาวที่ปกเสื้อ หมายถึง
การยอมรับว่าจะไม่ทำร้ายหรือนิ่งเฉยต่อการใช้ความรุนแรงต่อสตรีในทุกรูปแบบ
และในปี พ.ศ. 2542 องค์การสหประชาชาติได้รับรองให้วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปีเป็น "วันขจัดความรุนแรงต่อสตรีสากล" สำหรับประเทศไทยได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2542 กำหนดให้เดือนพฤศจิกายนของทุกปีเป็น "เดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี" เพื่อมุ่งเน้นที่จะป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงทั้งต่อเด็กและสตรี โดยดำเนินการรณรงค์ตลอดเดือนพฤศจิกายน ให้สังคมได้ตระหนักและร่วมป้องกันและขจัดความรุนแรงต่อเด็กและสตรีให้หมดสิ้นไป
ติดริบบิ้นขาว แสดงจุดยืน "ไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย ไม่กระทำความรุนแรงต่อสตรี"
ภาพจาก DANIEL MIHAILESCU/AFP
สัญลักษณ์ริบบิ้นสีขาว
ในวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากลนั้น
เป็นสัญลักษณ์ที่ผู้ชายติดเพื่อแสดงถึงการร่วมกันต่อต้านการใช้ความรุนแรงต่อสตรี
ทั้งนี้ในปัจจุบันสัญลักษณ์ดังกล่าวใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
เพื่อแสดงออกเพื่อรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี
และความรุนแรงในครอบครัว
ทำไมวันนี้จึงเป็นวันสากลของทุกประเทศ
ภาพจาก LUIS ACOSTA/AFP
โดยเว็บไซต์สหประชาชาติ
ได้ให้ข้อมูลว่า ความรุนแรงต่อผู้หญิงคือการละเมิดสิทธิมนุษยชน
นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทั้งการปรากฏในข้อกฎหมาย
และความเหลื่อมล้ำทางสังคมในความเท่าเทียมกันทั้งผู้ชายและผู้หญิง
ทั้งยังส่งผลกระทบรุนแรงและเกี่ยวเนื่องไปถึงการต่อสู้กับความยากจน, HIV
รวมไปถึงสันติภาพและความมั่นคง
ซึ่งความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิงยังคงมีอยู่ทั่วทุกมุมโลก
"ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิงคือการละเมิดสิทธิมนุษยชน,
การแพร่ระบาดด้านสุขภาพของประชาชน
ถือเป็นอันตรายร้ายแรงต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยปัญหาดังกล่าวนั้นตามมาด้วยค่าใช้จ่ายมากมายทั้งในครอบครัวและเศรษฐกิจ
ซึ่งโลกไม่สามารถแลกได้ในราคาสูงขนาดนี้" นายบัน คี มูน
อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ
กิจกรรมเนื่องในวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล
สำหรับในวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากลนั้น
องค์การสหประชาชาติ จะจัดแคมเปญ Orange the world เพื่อสร้างความตระหนักให้คนทั่วโลกยุติการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิง และระดมทุนเพื่อนำมาดำเนินกิจกรรมสร้างความเปลี่ยนแปลง
โดยจะใช้ สีส้ม
เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงอนาคตที่สดใสโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง ขณะที่หลาย ๆ ประเทศก็ร่วมกันจัดกิจกรรมนี้ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น โรงเรียน หรือแลนด์มาร์กสำคัญ
การเคลื่อนไหวในวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล ของประเทศไทย
สำหรับประเทศไทย
ก็เคยจัดกิจกรรมรณรงค์ดังกล่าว โดยเมื่อปี 2558 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา
เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงานรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี
และความรุนแรงในครอบครัว มีกิจกรรมหลักประกอบด้วยการเดินขบวนรณรงค์ของผู้แทนจากทุกภาคส่วน
จากบริเวณด้านหน้ากระทรวงศึกษาธิการมายังอาคารสหประชาชาติ
เพื่อแสดงเจตนารมณ์ของภาคีเครือข่ายในการร่วมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก
สตรี และความรุนแรงในครอบครัว กิจกรรมการเสวนาทางวิชาการ
และนิทรรศการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สำหรับในปี 2560 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันจัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด "สร้างครอบครัวไร้รุนแรง ด้วยสื่อสารที่สร้างสรรค์" อันมีคำขวัญว่า "หยุด ! คำร้าย...ทำลายครอบครัว" รณรงค์ให้ครอบครัวและสังคมมีการสื่อสารเชิงบวกเพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัว พร้อมกันนี้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ได้ทำแบบสำรวจความคิดเห็น 10 คำดีที่อยากได้ยินจากคนในครอบครัว ประกอบด้วย
1. เหนื่อยไหม
2. รักนะ
3. มีอะไรให้ช่วยไหม
4. คำชมเชย (ภูมิใจ/ดี/เยี่ยม)
5. ไม่เป็นไรน่ะ
6. สู้ ๆ นะ
7. ทำได้อยู่แล้ว
8. คิดถึงนะ
9. ขอบคุณนะ
10. ขอโทษนะ
ส่วน 10 คำร้ายที่ไม่อยากได้ยินจากคนในครอบครัว ประกอบด้วย
1. ไปตายซะ
2. คำด่า (เลว/ชั่ว)
3. แกไม่น่าเกิดเป็นลูกฉันเลย
4. ตัวปัญหา
5. ดูลูกบ้านอื่นบ้างสิ
6. น่ารำคาญ
7. ตัวซวย
8. น่าเบื่อ
9. ไม่ต้องมายุ่ง
10. เชื้อพ่อเชื้อแม่มันแรง
2. รักนะ
3. มีอะไรให้ช่วยไหม
4. คำชมเชย (ภูมิใจ/ดี/เยี่ยม)
5. ไม่เป็นไรน่ะ
6. สู้ ๆ นะ
7. ทำได้อยู่แล้ว
8. คิดถึงนะ
9. ขอบคุณนะ
10. ขอโทษนะ
ส่วน 10 คำร้ายที่ไม่อยากได้ยินจากคนในครอบครัว ประกอบด้วย
1. ไปตายซะ
2. คำด่า (เลว/ชั่ว)
3. แกไม่น่าเกิดเป็นลูกฉันเลย
4. ตัวปัญหา
5. ดูลูกบ้านอื่นบ้างสิ
6. น่ารำคาญ
7. ตัวซวย
8. น่าเบื่อ
9. ไม่ต้องมายุ่ง
10. เชื้อพ่อเชื้อแม่มันแรง