ว่ากันว่า ความรักคือเรื่องของพรหมลิขิต ถ้าหากคนสองคนถูกกำหนดให้เกิดมาเป็นเพื่อครองคู่กันแล้วละก็ ต่อให้ทั้งคู่อยู่ห่างไกลกันคนละมุมโลก ต่อให้ฐานะชาติพันธ์แตกต่างกันแค่ไหน อย่างไรก็ต้องโคจรมาพบกัน ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่ามันคือเรื่องเพ้อฝันเหลือเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นแล้วกับชายหญิงคู่หนึ่ง เว็บไซต์อ็อดดิซิตี้เซ็นทรัล ได้หยิบยกเรื่องราวของทั้งคู่มาเปิดเผยเอาไว้เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2560 และความรักของพวกเขานั้นมันช่างตราตรึงใจราวกับในนิยายเลยทีเดียว
ชาร์ล็อตต์เห็นดังนั้นก็นึกอยากลองฝีมือศิลปินหนุ่มท้องถิ่นคนนี้ เธอจึงเดินเข้าไปหาเขา นั่งให้เขาวาดภาพเธอ แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างชาร์ล็อตต์คาดไว้ จิตกรหนุ่มเกิดประหม่าขึ้นมาอย่างหนัก มือไม้สั่นไม่หยุด ทำให้เขาไม่สามารถแสดงฝีมือวาดภาพออกมาได้ดีเท่าที่ควร แต่ชาร์ล็อตต์ก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา เธอมาใหม่อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น เพื่อให้เขาได้แก้มือ แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขายังคงมือไม้สั่นเหมือนเดิม
ศิลปินหนุ่มท้องถิ่นคนนี้มีชื่อว่า พีเค มหานัทยา เขาเกิดมาในครอบครัวจัณฑาล ซึ่งเป็นวรรณะที่ต่ำที่สุดในระบบสังคมอินเดีย พีเคพบเจอกับการดูถูกเหยียดหยามจากเด็ก ๆ ชนชั้นที่สูงกว่าเขามาโดยตลอดตั้งแต่เด็กจนโต แต่กระนั้นเขาก็ยังมีแม่ที่รักและเอาใจใส่ เธอพยากรณ์อนาคตของลูกชายไว้ว่าสักวันหนึ่ง เขาจะได้เจอเนื้อคู่และแต่งงานกับเธอ "เธอคนนั้นคือผู้หญิงราศีพฤษภ เธอหลงใหลในเสียงเพลง รักต้นไม้ และเธอจะมาจากแดนไกล"
วินาทีแรกที่พีเคเห็นชาร์ล็อตต์ เขาก็มั่นใจทันทีว่าเธอคนนี้คือผู้หญิงตามคำพยากรณ์ที่แม่ได้ทำนายเอาไว้ การพบเธอทำให้เขาสติกระเจิดกระเจิง มือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก ลืมไปเลยว่าเคยวาดรูปเป็น พีเคโพล่งถามเธอไปว่า เธอเกิดเดือนพฤษภาคมใช่ไหม เธอปลูกต้นไม้หรือเปล่า ซึ่งชาร์ล็อตต์ก็ตอบว่าใช่ ในทุกคำถาม และพีเคก็บอกเธอไปว่า การที่เขากับเธอมาพบเจอกันมันคือพรหมลิขิต และเธอจะเป็นภรรยาของเขาในอนาคต
พีเคไม่ได้ถามชื่อชาร์ล็อตต์ด้วยซ้ำ เมื่อเขาพูดทุกอย่างนั้นออกไปเขาก็เกิดหวาดกลัวขึ้นมา เขากลัวว่าเธอจะขวัญกระเจิงแล้วไปแจ้งตำรวจมาลากเขาเข้าคุก แต่ปฏิกิริยาของชาร์ล็อตต์ไมได้เป็นแบบนั้น เธอรู้สึกสนอกสนใจในตัวจิตรกรหนุ่มขึ้นมา ถึงแม้ว่าสิ่งเขาถามมาแต่ละอย่างมันเป็นเรื่องแปลก แต่เขาก็ดูจริงใจ ซึ่งนั่นมันทำให้เธอสงสัยใคร่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องถามอะไรแบบนั้น
หลังจากวันนั้นทั้งคู่ก็ติดต่อพูดคุยกันเรื่อยมา ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ชาร์ล็อตต์กับพีเคตกหลุมรักกัน พีเคพาชาร์ล็อตต์ไปยังบ้านเกิดของเขาที่รัฐโอริสสา ที่ที่ทั้งคู่ตัดสินใจกันแต่งงานตามประเพณีอินเดีย กลายเป็นสามีภรรยากันหลังจากพบกันแค่เพียงสามสัปดาห์เท่านั้น แต่แล้วความรักของทั้งคู่ก็มีเหตุให้สะดุดลง ถึงเวลาที่ชาร์ล็อตต์ต้องกลับสวีเดนแล้ว เธอทิ้งเงินค่าตั๋วเครื่องบินไว้ให้พีเค เพื่อที่เขาจะเดินทางไปหาเธอได้ แต่เขาปฏิเสธ ไม่ยอมรับมัน
พีเคออกจากเดินทางอินเดียในวันที่ 22 มกราคม 2520 โดยมีจักรยานราคา 60 รูปีเป็นพาหนะคู่ใจ เขาปั่นข้ามปากีสถาน ออกไปยังอิหร่าน ข้ามผ่านตุรกีแล้วทะลุเข้าสู่ยุโรปและมาถึงสวีเดนในวันที่ 28 พฤษภาคม 2520 ใช้ระยะเวลาถึง 4 เดือนด้วยกัน ตลอดการเดินทางของพีเค เขาพบเจอกับผู้คนมากมาย พีเคไม่เข้าใจภาษาที่ผู้คนเหล่านั้นพูด แต่เขามีศิลปะเป็นสื่อกลาง เขาวาดภาพผู้คนในทุกที่ที่เขาพบเจอ บางคนให้เงินเขาเป็นค่าตอบแทน บางคนให้ที่พักพิง ให้อาหารแก่เขา
เมื่อถึงสวีเดน สภาพร่างกายของพีเคก็อ่อนล้าไปหมด ขาของเขาเจ็บระบม แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เขาจะได้เจอหน้าชาร์ล็อตต์แล้ว พีเคปั่นมาจนถึงเมืองโกเธนเบิร์ก เขานั่งรถไฟต่อไปอีก 70 กิโลเมตร เข้าสู่เมืองโบราส ที่ที่หญิงที่เขารักรอคอยอยู่
ทันทีชาร์ล็อตต์เห็นพีเค เธอก็วิ่งเข้ามามาหาเขา พีเคกล่าวขอโทษ ขออภัยที่เขากลิ่นตัวเหม็น แต่ชาร์ล็อตต์ไม่สนใจและกอดเขา ความรักของทั้งคู่ทำให้หลายคนตกตะลึง พวกเขาแตกต่างกันทุกอย่าง ทั้งเชื้อชาติ ศาสนา ฐานะ และสถานะทางสังคม แต่ทั้งคู่ก็แต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายที่สวีเดน และเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกันที่นั่น
"ผมไม่รู้จักทวีปยุโรปเลย ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวัฒนธรรมที่นี่เลยสักนิด ทุกอย่างเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับผม แต่ชาร์ล็อตต์ช่วยเหลือผมทุกอย่าง เธอคือคนพิเศษในชีวิตผม ผมยังคงรักเธอเหมือนกับตอนที่ผมเธอครั้งแรกในปี 2518" พีเคเปิดเผยถึงเรื่องราวในอดีตของเขา
ปัจจุบันพีเคกลายเป็นด็อกเตอร์ เขาเป็นอาจารย์สอนหนังสือ และยังคงไม่ทิ้งการวาดรูป เขาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะมาแล้วมากมาย ผลงานของเขาถูกจัดแสดงในหอศิลป์ทั่วทวีปยุโรป ส่วนชาร์ล็อตต์ทำงานด้านดนตรี ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอหลงใหลมาตั้งแต่สมัยยังเป็นสาว ๆ ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 2 คน ลูกสาวคนโตชื่อเอเมอลี ตอนนี้อายุ 31 ปีแล้ว ปัจจุบันทำงานด้านธุรกิจสิ่งทอ ลูกชายคนเล็กชื่อคาร์ล วัย 28 ปี เป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์ สมาชิกในครอบครัวทุกคนอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Dr P.K Mahanandia