กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยผลตรวจสอบน้ำสีดำจากบ่อ จ.นราธิวาส พบเชื้อโรคจำนวนมาก หากดื่มเข้าไปเสี่ยงเกิดโรค ชี้จัดเป็นน้ำเสียที่ต้องบำบัด !!
สืบเนื่องจากชาวบ้านในพื้นที่ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส พบน้ำสีดำในบ่อซึ่งเชื่อว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ สามารถรักษาโรคได้ ต่างพากันมาตักไปดื่มกินจนเป็นข่าวโด่งดัง ต่อมาทางสาธารณสุขจังหวัดได้เข้าตรวจสอบพบว่าน้ำดังกล่าวมีเชื้อโรคประเภทเดียวกับที่ปะปนในอุจจาระ แต่ชาวบ้านกลับยังไม่เชื่อและยังคงมาตักดื่มกินต่อ ตามที่มีรายงานไปแล้วนั้น (อ่านข่าว : หาได้แคร์ ชาวบ้านยังเชื่อ "บ่อน้ำดำ" รักษาโรคได้-ไม่ใช่น้ำอึ แห่ตักเก็บกันเพียบ)
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุด (4 พฤษภาคม 2560) มีรายงานว่า นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รายงานผลการทดสอบคุณภาพน้ำสีดำดังกล่าว พบว่าเป็นน้ำที่ไม่ได้มาตรฐานตามมาตรฐานน้ำบริโภค ทั้งทางด้านเคมีและจุลชีววิทยา โดยพบมีปริมาณสารฟลูออไรด์และเหล็ก สูงกว่าเกณฑ์คุณภาพมาตรฐานน้ำดื่มตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 61 (พ.ศ. 2524) ฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2534) และ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2553) โดยเฉพาะฟลูออไรด์และเหล็ก สูงกว่าเกณฑ์ถึง 14 และ 43 เท่า
ทั้งนี้ ฟลูออไรด์อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระดูก ทำให้เป็นโรคฟันตกกระ ฟันลาย การทำงานของไตและต่อมไร้ท่อผิดปกติ ส่วนเหล็กถึงแม้ไม่มีผลต่อสุขภาพมากนัก แต่ถ้าได้รับในปริมาณมากอาจจะสะสมในตับทำให้เกิดโรคได้ นอกจากนี้ยังไม่ได้มาตรฐานทางด้านจุลชีววิทยา เนื่องจากพบเชื้อโคลิฟอร์ม (MPN Coliforms) มากกว่า 23 ต่อน้ำ 100 มิลลิลิตร ซึ่งเกินเกณฑ์กำหนด และพบอีโคไลน์ (E. coli) และสแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (S. aureus) ซึ่งเป็นเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคทางเดินอาหาร ท้องเสีย และอาหารเป็นพิษ
นายแพทย์สุขุม กล่าวอีกว่า น้ำจากบ่อดังกล่าวจัดเป็นน้ำเสียที่ต้องผ่านการบำบัดก่อนใช้ ซึ่งไม่ควรดื่มกิน เพราะมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ และในส่วนที่ว่าเมื่อตักน้ำสีดำมาทิ้งไว้แล้วน้ำจะกลับมาใสใหม่นั้น เป็นปฏิกิริยาทางเคมี คือถ้ามีอากาศน้อยหรือออกซิเจนต่ำจะทำให้น้ำเป็นสีดำเพราะมีตะกอนของสารประกอบเหล็กกับซัลไฟด์ แต่ถ้ามีอากาศหรือออกซิเจนสูง จะเกิดการสลายตัวเป็นซัลเฟอร์ และซัลเฟต ตะกอนสีดำจะหายไป น้ำก็จะใสขึ้น
ภาพและข้อมูลจาก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
