ดอยธิเบศร์ ดัชนี ลูกชาย ถวัลย์ ดัชนี เปิดใจเคยคิดฆ่าตัวตาย หลังจากพ่อเสียชีวิต เจอปัญหารุมเร้าสารพัด ทั้งมีคนฟ้องร้อง เงินถูกอายัติ ไม่มีงาน แฟนทิ้ง จนกลายเป็นโรคซึมเศร้า แต่เอาชีวิตรอดมาได้เพราะมีเคล็ดลับ
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2560 เฟซบุ๊ก Doytibet Duchanee ของ ดอยธิเบศร์ ดัชนี ซึ่งเป็นบุตรชายคนเดียวของ ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ประจำปี 2544 ได้โพสต์แชร์เรื่องราวประสบการณ์ของตัวเองที่ครั้งหนึ่งเคยคิดฆ่าตัวตาย บอกเล่าในสิ่งที่คนทั่วไปอาจสงสัย อย่างเช่น คนที่คิดฆ่าตัวตายมีความรู้สึกอย่างไร ทำไมคนเหล่านั้นถึงคิดทำร้ายตัวเอง แล้วทำไมพวกเขาถึงคิดสั้น โดยดอยธิเบศร์ ได้ยอมรับว่า ตนเคยคิดสั้นจะฆ่าตัวตาย หลังจากพ่อเสียชีวิตไปได้ระยะหนึ่ง ซึ่งมันเป็นวิกฤตที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต ในขณะที่หลายคน อาจจะคิดว่าตนคงสบายที่ได้สมบัติมหาศาลจากพ่อ แต่แท้จริงแล้ว หลังจากที่พ่อจากไปนั้น ชีวิตตนได้ดำดิ่งสู่หุบเหว
ตลอดระยะเวลาของงานศพตนรับแขกจนเบลอไปหมด หลังจากงานพระราชทานเพลิงศพเสร็จสิ้นตนก็รีบกลับเชียงราย เพื่อเตรียมงานทำบุญร้อยวัน ต้องเตรียมสถานที่และพิธีการต่าง ๆ และในช่วงนั้นก็มีศิลปินอันเปรียบเสมือนพ่อตนอีกคนนั่นก็คือ ศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ จากไปแบบปัจจุบันทันด่วน ณ เวลาที่ได้ทราบข่าวน้ำตาได้ไหลออกมาเหมือนเขื่อนแตก ความอดทนอดกลั้นทั้งหมดพังทลายลงไปพร้อมการจากไปของคนที่รักและผูกพันในเวลาใกล้ ๆ กัน และหลังจากนั้นอีกไม่นาน ศาสตราจารย์เกียรติคุณชลูด นิ่มเสมอ ก็จากไปอีกคน ซึ่งท่านเป็นอาจารย์ของตนและพ่อ นับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของวงการศิลปวัฒนธรรม
หลังงานทำบุญร้อยวันเสร็จ ตนก็จัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ เพื่อไปยื่นต่อศาลในการขอเป็นผู้จัดการมรดก ปรากฏว่ามีคนยื่นคำร้องขอก่อนตน หลังจากงานศพพ่อเสร็จไปได้แค่ 9 วัน มันเป็นเรื่องที่เกินจะคาดคิด เพราะตนเป็นทายาทผู้สืบสันดานเพียงผู้เดียว และไม่คิดมาก่อนว่าจะมีใครกล้าทำอะไรแบบนี้ ตนทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่มีประสบการณ์เรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลมาก่อน ช่วงนั้นได้เกิดวิกฤตทางการเงินอย่างหนัก เพราะภาระค่าใช้จ่ายทั้งงานศพ งานทำบุญร้อยวัน งานเลี้ยงกาล่าดินเนอร์แสง สี เสียงที่คนเขาอยากจัดให้พ่อ แต่ตนต้องเป็นคนจ่ายเงิน ค่าแรงคนงาน ค่าดูแลพิพิธภัณฑ์บ้านดำ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาจนตั้งรับไม่ทัน ในขณะที่เงินทั้งหมดของตนถูกอายัติ ตนมีบัญชีร่วมกับพ่อ ซึ่งเป็นเงินที่เราทำโปรเจคท์ร่วมกัน โดยเปิดบัญชีร่วมกับพ่อ เพราะอยากให้ท่านมีความรู้สึกภาคภูมิใจกับเงินที่ลูกหามาได้
แต่มาถึงวันนี้ ตนเบิกเงินออกมาไม่ได้เพราะธนาคารบอกว่าต้องรอคำสั่งศาลแต่งตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกเสียก่อน แต่ในตอนนั้น เงินจ้างทนายก็ยังไม่มี งานที่บริษัทลูกน้องก็ลาออกทั้งหมด ลูกน้องที่บ้านดำก็รอเงินเดือน เงินเก็บที่ตนมีก็ใช้จ่ายเกี่ยวกับงานศพไปจนหมด ตนเหมือนคนล้มละลาย ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีสมบัติ ตนขายรถที่รักไป 5 คัน เพื่อเอามาใช้จ่ายต่าง ๆ ส่วนเขาคนนั้น ที่ยื่นเป็นผู้จัดการมรดก หลังจากที่ศาลนัดไกล่เกลี่ย เขาก็ยังยืนยันจะขอเป็นผู้จัดการมรดกให้ได้ ตนเลยต้องต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ความเป็นธรรม ตัดสินให้ตนเป็นผู้จัดการมรดกแต่เพียงผู้เดียว แต่เขาคนนั้นกลับร้องต่อศาลฎีกา โดยจะมีการตัดสินภายในปีหน้า
ดอยธิเบศร์
เผยว่า ตนดีใจที่ทำงานเองตั้งแต่อายุ 17
ไม่เคยขอเงินพ่อเลยตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี ตนทำงานหนัก
จึงทำให้มีทุกอย่างด้วยหนึ่งสมอง สองมือ หนึ่งหัวใจของตัวเอง
ไม่เช่นนั้นตนคงต้องนอนข้างถนนแล้ว ในขณะที่มีเรื่องฟ้องร้องกันแบบนี้
แต่นับจากวันที่พ่อจากไปผ่านมาสามปีแล้ว
ตนก็ยังทำงานอย่างหนักเพื่อประคับประคองทุก ๆ อย่างไว้
ดังนั้นลืมไปได้เลยว่าตนจะเอาสมบัติพ่อออกมาผลาญอย่างที่หลาย ๆ คนคิด
นอกจากนั้น ในขณะที่หัวใจยังบอบช้ำอย่างสาหัส คนรักของตนยังมาจากไปโดยไม่ลาแม้แต่คำเดียว ทั้ง ๆ ที่อาทิตย์หน้าได้วางแผนจะไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน แต่ก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ ตั้งแต่เธอเข้ามา เธอต้องพบกับปัญหาต่าง ๆ รอบด้าน รวมทั้งความกดดันอื่น ๆ ร่วมกับตน เมื่อเธอจากไป วันนั้นตนล้มทั้งยืน มันเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เหมือนโลกจะแตกดับ เหมือนขาดที่พึ่งทางใจ แถมเพื่อนฝูงพี่น้องที่เคยรักกันมาหลายปี ก็เปลี่ยนไปเดินออกจากชีวิต โดยไม่เคยถามหรือให้โอกาสตนได้พูดอะไร หลายคนทำร้าย หลายคนใส่ร้าย แต่ตนก็เลือกที่จะอดทน โดยไม่ออกมาโต้แย้งอะไรใด ๆ เพราะเชื่อว่าความจริงเสียงดังเสมอ
จากนั้นมา ตนกลายเป็นคนซึมเศร้า สภาพจิตใจย่ำแย่ ไปตรวจร่างกายกับหมอที่ดูแลเป็นประจำ หมอบอกว่าตนมีภาวะเครียดจนร่างกายเกินจะรับได้ ตอนนั้นตนสารภาพกับหมอตรง ๆ ว่า ไม่อยากอยู่แล้ว ไม่ไหว ตนเคยคิดจะยิงตัวตายหลายครั้ง หมอได้บอกว่า มันเป็นอาการเคมีในสมองผิดปกติ เกิดจากความเครียดและสถานการณ์ต่าง ๆ ที่บีบคั้นมากเกินไป
แต่สิ่งที่ทำให้ผ่านมาได้ อย่างแรกคือ ต้องเข้าใจตัวเองก่อน โดยมีหมอชี้แนะและรักษาทางด้านร่างกาย และใช้ธรรมะเยียวยาด้านจิตใจ เมื่อใดที่เจอปัญหาหนักจนเกินจะเยียวยา ก็จะรีเซตตัวเองด้วยการตัดสินใจไปปฏิบัติธรรม ตัดขาดจากโลกภายนอก เพื่อประคองสติให้รู้ตื่นรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา อยู่ในสภาวะทางธรรม หลังจากกลับมาในสภาวะทางโลก ก็ตั้งใจทำงานหนักเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า เพื่อไม่ให้มีเวลาฟุ้งซ่าน รวมทั้งออกไปทำงานเพื่อส่วนรวมเพิ่มขึ้น โดยการทำงานเป็นอาสาสมัครและช่วยเหลือสังคมด้านอื่น ๆ เพื่อให้ได้เห็นความยากลำบากและได้เรียนรู้ชีวิตคนอื่นว่ายังมีคนอื่นที่ทุกข์กว่าเราอีกมาก ประกอบกับมีเพื่อนบางส่วนที่เข้าใจและเป็นกำลังใจให้ สิ่งเหล่านี้ ทำให้สามารถก้าวผ่านการฆ่าตัวตายมาได้จนถึงวันนี้
สุดท้ายนี้ อยากฝากทุกคนว่า ถ้าเจอคนที่เป็นโรคซึมเศร้าหรือกำลังคิดทำร้ายตัวเอง อย่าทอดทิ้งเขา เพราะเขาเหล่านั้นต้องได้รับการเยียวยาและต้องการกำลังใจ "การตายไม่ใช่เรื่องยากแต่การอยู่อย่างมีคุณค่านั้นยากยิ่งกว่า"
ภาพและข้อมูลจาก
เฟซบุ๊ก Doytibet Duchanee
นอกจากนั้น ในขณะที่หัวใจยังบอบช้ำอย่างสาหัส คนรักของตนยังมาจากไปโดยไม่ลาแม้แต่คำเดียว ทั้ง ๆ ที่อาทิตย์หน้าได้วางแผนจะไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน แต่ก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ ตั้งแต่เธอเข้ามา เธอต้องพบกับปัญหาต่าง ๆ รอบด้าน รวมทั้งความกดดันอื่น ๆ ร่วมกับตน เมื่อเธอจากไป วันนั้นตนล้มทั้งยืน มันเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เหมือนโลกจะแตกดับ เหมือนขาดที่พึ่งทางใจ แถมเพื่อนฝูงพี่น้องที่เคยรักกันมาหลายปี ก็เปลี่ยนไปเดินออกจากชีวิต โดยไม่เคยถามหรือให้โอกาสตนได้พูดอะไร หลายคนทำร้าย หลายคนใส่ร้าย แต่ตนก็เลือกที่จะอดทน โดยไม่ออกมาโต้แย้งอะไรใด ๆ เพราะเชื่อว่าความจริงเสียงดังเสมอ
จากนั้นมา ตนกลายเป็นคนซึมเศร้า สภาพจิตใจย่ำแย่ ไปตรวจร่างกายกับหมอที่ดูแลเป็นประจำ หมอบอกว่าตนมีภาวะเครียดจนร่างกายเกินจะรับได้ ตอนนั้นตนสารภาพกับหมอตรง ๆ ว่า ไม่อยากอยู่แล้ว ไม่ไหว ตนเคยคิดจะยิงตัวตายหลายครั้ง หมอได้บอกว่า มันเป็นอาการเคมีในสมองผิดปกติ เกิดจากความเครียดและสถานการณ์ต่าง ๆ ที่บีบคั้นมากเกินไป
แต่สิ่งที่ทำให้ผ่านมาได้ อย่างแรกคือ ต้องเข้าใจตัวเองก่อน โดยมีหมอชี้แนะและรักษาทางด้านร่างกาย และใช้ธรรมะเยียวยาด้านจิตใจ เมื่อใดที่เจอปัญหาหนักจนเกินจะเยียวยา ก็จะรีเซตตัวเองด้วยการตัดสินใจไปปฏิบัติธรรม ตัดขาดจากโลกภายนอก เพื่อประคองสติให้รู้ตื่นรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา อยู่ในสภาวะทางธรรม หลังจากกลับมาในสภาวะทางโลก ก็ตั้งใจทำงานหนักเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า เพื่อไม่ให้มีเวลาฟุ้งซ่าน รวมทั้งออกไปทำงานเพื่อส่วนรวมเพิ่มขึ้น โดยการทำงานเป็นอาสาสมัครและช่วยเหลือสังคมด้านอื่น ๆ เพื่อให้ได้เห็นความยากลำบากและได้เรียนรู้ชีวิตคนอื่นว่ายังมีคนอื่นที่ทุกข์กว่าเราอีกมาก ประกอบกับมีเพื่อนบางส่วนที่เข้าใจและเป็นกำลังใจให้ สิ่งเหล่านี้ ทำให้สามารถก้าวผ่านการฆ่าตัวตายมาได้จนถึงวันนี้
สุดท้ายนี้ อยากฝากทุกคนว่า ถ้าเจอคนที่เป็นโรคซึมเศร้าหรือกำลังคิดทำร้ายตัวเอง อย่าทอดทิ้งเขา เพราะเขาเหล่านั้นต้องได้รับการเยียวยาและต้องการกำลังใจ "การตายไม่ใช่เรื่องยากแต่การอยู่อย่างมีคุณค่านั้นยากยิ่งกว่า"
ภาพและข้อมูลจาก
เฟซบุ๊ก Doytibet Duchanee






