
ย้อนดูวันนี้ในอดีต 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2419 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท...พระวิมานที่สถิตแห่งพระบรมอัฐิ
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เป็นพระที่นั่งในหมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวัง โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นท้องพระโรง เมื่อ พ.ศ. 2419 ภายหลังเสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา โปรดเกล้าฯ ให้จ้างสถาปนิกชาวอังกฤษจากสิงคโปร์ชื่อ มิสเตอร์ ยอน คลูนิช เป็นนายช่างออกแบบ นายเฮนรี คลูนิช โรส เป็นนายช่างผู้ช่วย โดยมีเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เป็นแม่กองผู้ควบคุมการก่อสร้าง พระยาเวียงในนฤบาล เป็นผู้กำกับดูแลการทุกอย่าง และพระประดิษฐการภักดี เป็นผู้ตรวจกำกับบัญชี

เดิมมีพระที่นั่งต่าง ๆ เรียงต่อเนื่องกันรวม 11 องค์ ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 3 องค์ คือ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท, พระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ และพระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ (พระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ และพระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัตินั้นชำรุดทรุดโทรมมาก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 จึงได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้รื้อลง และสร้างองค์ใหม่ขึ้นแทน)
เริ่มแรกนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งองค์ใหม่เป็นแบบตะวันตก แต่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) กราบบังคมทูลขอให้ทำเป็นปราสาท จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนทรงหลังคาเป็นหลังคายอดปราสาท 3 ยอดเรียงกันตามสถาปัตยกรรมไทย และเสด็จยกยอดปราสาทใน พ.ศ. 2421 มีการเฉลิมพระราชมนเทียรใน พ.ศ. 2425 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า "พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท" โดยเป็นพระที่นั่ง 3 ชั้น องค์พระที่นั่งเป็นอาคารรูปตัว T

พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท องค์ตะวันออก บริเวณชั้นบนประดิษฐานปูชนียวัตถุของพระมหากษัตริย์ อาทิ พระพุทธรูปสำคัญที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่วนชั้นกลางเป็นห้องรับแขก สมัยรัชกาลที่ 5 เรียกว่า ห้องไปรเวต ด้านตะวันออก โดยเมื่อครั้งรัชกาลที่ 5 ประทับ ณ พระราชมณเฑียรหมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทนี้จะเสด็จออกรับแขกที่มิได้เฝ้าฯ เป็นทางราชการ ณ ห้องนี้ ปัจจุบันใช้เป็นห้องรับรองพระราชอาคันตุกะชั้นสมเด็จพระราชาธิบดี และพระราชวงศ์ หรือพระราชอาคันตุกะชั้นประมุขของประเทศ ในโอกาสที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานพระราชทานเลี้ยงรับรอง ทั้งนี้ ภายในประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 5 และ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระราชโอรส 5 พระองค์ ขณะที่ชั้นล่าง ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นห้องสำหรับราชองครักษ์ ปัจจุบันใช้เป็นห้องรับแขก
ส่วนองค์ตะวันตก บริเวณชั้นบนเป็นหอประดิษฐานพระอัฐิพระมเหสีและพระบรมราชวงศ์ ชั้นกลางในสมัยรัชกาลที่ 5 จัดเป็นออฟฟิศหลวง ต่อมาครั้งสมัยรัชกาลที่ 7 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดห้องนี้เป็นห้องเฝ้าฯ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ส่วนในปัจจุบันใช้เป็นห้องรับแขก เป็นสถานที่รอเข้าเฝ้าฯ ของพระราชอาคันตุกะ ภายในที่ส่วนผนังนั้นประดับพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ส่วนบริเวณ ชั้นล่าง ใช้เป็นห้องสมุด

สำหรับพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทองค์กลาง ชั้นล่างเป็นที่ตั้งกองรักษาการณ์ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ชั้นกลางเป็นท้องพระโรงหน้า ลักษณะเป็นห้องโถง ผนังประดับพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเครื่องบรมราชภูษิตาภรณ์ตามขัตติยราชประเพณี
โดยท้องพระโรงนี้ เป็นทางผ่านไปยังส่วนอื่น ๆ ของพระที่นั่ง ด้านใต้เป็นทางเข้าสู่ท้องพระโรงกลาง เป็นท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกให้คณะทูตานุทูตต่างประเทศเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระราชสาส์นตราตั้งเป็นเอกอัครราชทูต หรือถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสต่าง ๆ
องค์ประกอบสำคัญยิ่งอีกส่วนหนึ่งของพระที่นั่งองค์กลางคือ "หอเก็บพระบรมอัฐิ" หรือ "พระวิมาน" โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ณ บริเวณชั้นบนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทองค์กลาง ซึ่งเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ 4

ซึ่งต่อมายังเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิรัชกาลที่ 5 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระศรีสวริน ทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระบรมอัฐิรัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี รวมถึง สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
อีกทั้งยังเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก รวมถึง สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
และในวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ได้มีพระราชพิธีอัญเชิญพระบรมอัฐิของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ประดิษฐาน ณ พระวิมาน ชั้นบนพระที่นังจักรีมหาปราสาทองค์กลาง
สำหรับพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เป็นพระที่นั่งที่มีความโดดเด่นกว่าพระที่นั่งในหมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทอื่น ๆ เนื่องจากเป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมไทยกับสถาปัตยกรรมยุโรป โดยตัวอาคารพระที่นั่งมีรูปแบบสถาปัตยกรรมยุโรป แต่หลังคาพระที่นั่งเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมไทย จนเป็นที่มาของชื่อ "ฝรั่งสวมชฎา" ซึ่งในปัจจุบันพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท กลายเป็นหนึ่งในจุดดึงดูดสำคัญที่สุดของพระบรมมหาราชวัง เป็นหนึ่งในสถานที่ที่สำคัญที่สุดในพระบรมมหาราชวัง เช่นเดียวกับพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ข้อมูลจาก

