เผยปมฝังใจ ครอบครัวหัวร้อนชกตำรวจ เหตุเคยถูกจับจนต้องไปนอนคุก 3 วัน พอออกมาคดีเงียบหาย ด้านทนายตั้ม แนะให้พาลูกไปขอโทษตำรวจ ชี้คลิปชัดจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ จากกรณีคลิปวิดีโอที่ครอบครัวหนึ่งได้ยืนมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.มาบตาพุด จ.ระยอง หลังถูกเขียนใบสั่ง เพราะจอดในที่ห้ามจอด จนถูกขุดคุ้ยประวัติว่ามีพฤติกรรมเคยกระทำลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง จากหลายพื้นที่ทั่วประเทศ อีกทั้ง น.ส.หทัยรัตน์ สมถวิล หนึ่งในผู้ก่อเหตุได้ระบุว่า ตัวเองเรียนจบนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนกลายเป็นข่าวโด่งดัง ซึ่งต่อมาได้มีการนำชื่อเจ้าตัวไปค้นข้อมูลนักศึกษาแต่กลับไม่พบ กระทั่งต่อมาต้องออกมายอมรับว่า ไม่ได้จบนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แค่แอบอ้าง เพราะไม่ชอบตำรวจ ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด (14 พฤษภาคม 2561) นายพยอม แสงวันดี, น.ส.หทัยรัตน์ สมถวิล
และลูกชาย ได้ขอคำปรึกษาจากทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม
เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
พร้อมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทนายษิทราฟังอีกครั้งว่า ขณะเกิดเหตุ
ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายร่างกายเช่นกัน
และสิ่งที่ตำรวจทำนั้นก็เกินกว่าเหตุ เนื่องจาก น.ส.หทัยรัตน์
กำลังตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน
โดยทนายตั้ม ได้บอกกับครอบครัวนายพยอม
ว่า สิ่งที่ตำรวจทำนั้น ถือว่าทำได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่
และที่ตำรวจเข้าระงับเหตุ หลังจากที่ลูกชายของนายพยอม และ น.ส.หทัยรัตน์
แสดงท่าทางเหมือนกับจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ ตำรวจก็สามารถทำได้เช่นกัน
เพราะถือว่าเป็นการเข้าจับกุม
ซึ่งในคลิปจะเห็นได้ว่าเด็กได้มีการกระทำผิดจริง
เห็นชัดว่าลูกชายจะเข้าไปชกตำรวจ
เพราะฉะนั้นจึงไม่ถือว่าตำรวจกระทำเกินกว่าเหตุ
พร้อมทั้งแนะนำให้ครอบครัวนายพยอม อย่าอารมณ์ร้อน
เพราะผลที่ออกมาไม่ดีต่อครอบครัว และอยากให้ไปรับสารภาพว่าทำผิดจริง
ขอโทษตำรวจ ขอโทษสังคมอย่างจริงใจ เพื่อครอบครัวจะได้ไม่ตกเป็นจำเลยสังคม
ไม่ต้องโดนขุดคุ้ยข้อมูลเก่า ๆ และถูกโจมตีจากโซเชียลอีก
เรื่องหนักจะได้กลายเป็นเบา ส่วนที่ไปแจ้งความตำรวจก็ขอให้ไปถอนแจ้งความ
และพาลูกชายไปขอโทษตำรวจด้วย ทั้งนี้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการให้อภัย
หากขอโทษ ยอมรับผิด อาจจะทำให้คนไทยมองครอบครัวนายพยอมดีขึ้นบ้าง
แต่ก็ไม่ใช่ว่าขอโทษแล้วเรื่องทุกอย่างจะจบลง หรือตำรวจจะไม่เอาเรื่อง
ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย
ด้านนายพยอม เปิดเผยว่า
รู้สึกสบายใจขึ้นและพร้อมจะทำตามคำแนะนำ จะไปขอโทษตำรวจ
จะได้กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม
หลังจากคลิปถูกเผยแพร่ออกไปก็รู้สึกเครียดเพราะถูกสั่งพักงาน
แล้วตนเป็นหัวเรือใหญ่ต้องดูแลครอบครัว ญาติพี่น้องอีกประมาณ 9 คน
ตอนนี้เดือดร้อนมาก เนื่องจากขาดรายได้ แถมครอบครัวยังโดนโจมตีอย่างหนัก
หลายคนโทร. มาด่า ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จนต้องปิดมือถือหนี
ตนอยากขอโทษสังคมที่แสดงกิริยาที่ไม่ดีต่อสาธารณชน
ต่อไปจะควบคุมอารมณ์ให้เย็นลง และไม่ทำพฤติกรรมเช่นนี้อีก
เพราะได้บทเรียนครั้งสำคัญของชีวิตแล้ว รวมถึงจะพาลูกไปขอโทษตำรวจด้วย
ขณะที่
น.ส.หทัยรัตน์ เปิดเผยว่า ตนมีความรู้สึกไม่ดีกับตำรวจเพราะเมื่อ 6-7 ปี
ก่อน ตนถูกตำรวจจับเนื่องจากพกปืนบีบีกัน กระสุนลูกปราย
ต้องอยู่ในเรือนจำถึง 3 วัน
พอถูกปล่อยตัวออกมาตนกลับไปตรวจสอบคดีว่าจะต้องไปขึ้นศาลอีกครั้งวันไหน
แต่ปรากฏว่าไม่พบคดีของตัวเองและคดีก็เงียบหายไป
ทำให้เป็นปมคาใจให้ตัวเองนำตำราเรียนจากญาติที่เรียนนิติศาสตร์
มาศึกษาด้วยตนเอง
ด้าน ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ตั้งข้อสังเกตกรณีนี้ว่า การเข้าไปอยู่ในเรือนจำถึง 3 วัน แต่กลับไม่ปรากฏข้อหานั้นเป็นไปไม่ได้
ภาพและข้อมูลจาก
รายการทุบโต๊ะข่าว