กระทรวงการต่างประเทศ แจงปม ธนาธร ต้องขึ้นศาลทหาร ชี้ไม่ใช่การมุ่งร้ายแก่บุคคลใดเป็นพิเศษ ยันมีความเป็นธรรม ปราศจากอคติ
2. ในการดำเนินคดีต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ในช่วงที่มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 37/2557 และ 382557
ให้การกระทำใด ๆ ที่ขัดต่อประมวลกฎหมายอาญามาตราต่าง ๆ รวมทั้งมาตรา 116
และฐานอื่นตามมาตรา 189 ให้ถือเป็นประเภทคดีที่ต้องขึ้นศาลทหาร
ซึ่งต่อมาคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 55/2559 ลงวันที่ 12
กันยายน 2559
ได้กำหนดให้การกระทำความผิดเหล่านี้โอนไปอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
เว้นแต่เป็นการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นก่อนวันดังกล่าว ให้ยังคงอยู่ในอำนาจของศาลทหารต่อไป
โดยผู้ต้องหาหรือจำเลย
จะมีสิทธิมีทนายความและมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้เหมือนคดีในศาลยุติธรรมทั่วไป
อย่างไรก็ตาม หากบุคคลใดที่ต้องคดีติดใจสงสัยในอำนาจศาล
ก็ยังสามารถยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ซึ่งมีประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา
192 เพื่อขอให้พิจารณาคดีในศาลยุติธรรม
3. กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับพวก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2558 กรณีคดีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับพวกจำนวนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่า
กระทำความผิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2558
(ก่อนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 55/2559 วันที่ 12 กันยายน
2559) ด้วยข้อหากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และฐานอื่นตามมาตรา
189 จึงเข้าหลักเกณฑ์ตามข้อ 2
ทั้งนี้ การดำเนินคดีจะเป็นไปตามกฎหมายและหลักนิติธรรม โดยผู้ต้องหาหรือจำเลย ล้วนมีสิทธิได้รับการพิจารณาโดยเปิดเผย เป็นธรรม รวดเร็ว และปราศจากอคติทั้งปวง ภายใต้ระบบกฎหมายของประเทศที่มีมาช้านาน และได้รับการคุ้มครองตามมาตรฐานในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการเช่นเดียวกับในนานาอารยประเทศทั้งหลาย
วันที่ 11 เมษายน 2562 กระทรวงการต่างประเทศ ออกข่าวสารนิเทศ
หัวข้อ
"ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขึ้นศาลทหารของผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด
ในช่วงต้นของรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ปี 2557 จนถึงวันที่ 12 กันยายน
2549" โดยมีใจความ ดังนี้
1.ประเทศไทยมีระบบศาลทหารมานานแล้วเช่นเดียวกับอีกหลายประเทศในโลก เช่น
อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และนานาประเทศในทวีปยุโรป
แม้การดำเนินการอาจมีความแตกต่างอยู่บ้าง
ศาลทหารจึงมิใช่ศาลที่ตั้งขึ้นเพื่อมุ่งร้ายแก่บุคคลเป้าหมายเป็นพิเศษแต่อย่างใด
ศาลทหารเป็นศาลที่อยู่ภายใต้ระบบศาลตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
สำหรับฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติรับรองไว้ในหมวด 10 ว่าด้วยศาล
โดยแบ่งประเภทเป็นศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และศาลทหาร
ทั้งบัญญัติด้วยว่าการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาลทหารต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์
ทั้งต้องมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้เป็นไปโดยรวดเร็ว
เป็นธรรม และปราศจากอคติทั้งปวง

ภาพจาก workpointnews.com
ทั้งนี้ การดำเนินคดีจะเป็นไปตามกฎหมายและหลักนิติธรรม โดยผู้ต้องหาหรือจำเลย ล้วนมีสิทธิได้รับการพิจารณาโดยเปิดเผย เป็นธรรม รวดเร็ว และปราศจากอคติทั้งปวง ภายใต้ระบบกฎหมายของประเทศที่มีมาช้านาน และได้รับการคุ้มครองตามมาตรฐานในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการเช่นเดียวกับในนานาอารยประเทศทั้งหลาย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก