ประท้วงฮ่องกงระอุอีก ม็อบปิดล้อม สนง.ตำรวจแห่งชาติ กดดันให้ผู้นำลาออก

          ประท้วงฮ่องกงยังคงระอุ ผู้ชุมนุมเคลื่อนไหวลงถนนอีกรอบ โจชัว หว่อง นำม็อบปิดล้อมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กดดันผู้นำลาออก ต้องยกเลิกกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปจีน
          วันที่ 21 มิถุนายน 2562 สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า สถานการณ์การประท้วงฮ่องกงในขณะนี้ ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะสลายตัว โดยกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนับร้อยนับพันคน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนหนุ่มสาว นำโดย โจชัว หว่อง ได้เคลื่อนขบวนเข้าปิดล้อมที่อาคารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปักหลักกดดันให้ นางแครี แลม ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง ลาออกจากตำแน่ง และเรียกร้องให้ฉีกร่างกฎหมายดังกล่าวทิ้ง

          ก่อนหน้านี้ นางแครี่ แลม ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษสาธารณชนอย่างเป็นทางการ กล่าวว่า ตนเองเสียใจอย่างสุดซึ้งสำหรับปัญหาวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนฉบับใหม่ ซึ่งนำไปสู่การเดินขบวนประท้วงทั่วประเทศ ทั้งในภาคประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งสำนักงานกฎหมาย รวมแล้วมีผู้เข้าร่วมกว่า 2 ล้านคน

          นางแครี แลม เผยว่า ตนเองได้ยินเสียงพี่น้องประชาชนอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง และได้ทบทวนถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเกิดจากความบกพร่องของรัฐบาล
          ทว่า นางแครี แลม กลับไม่ได้ให้คำตอบใด ๆ สำหรับคำเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนฉบับดังกล่าว มีเพียงแค่ระงับ และเลื่อนการพิจารณาออกไป ส่วนตัวเธอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลาออกจากตำแหน่ง รวมถึงเพิกเฉยต่อการกระแสเรียกร้องให้สืบสวนสอบสวนประเด็นเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงในการสลายการประท้วง เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน และยังคงนิ่งเงียบกับข้อเรียกร้องที่สำคัญอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน


          ภาพและคลิปวิดีโอบนสังคมออนไลน์ เผยให้เห็นคลื่นประชาชนสวมเสื้อสีดำ เดินขบวนไปตามถนนฮาร์คอร์ตและย่านหว่านจ๋าย ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ แต่ละคนต่างถือข้าวของกันมาอย่างเต็มไม้เต็มมือ ตั้งแต่แผงกั้นเหล็ก ถังน้ำ แกลลอนอะลูมิเนียม และกรวยจราจร นำมาวางปิดกั้นเส้นทางเข้า-ออกพื้นที่
          ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกมายืนคุ้มกันพื้นที่และเฝ้าสังเกตการณ์ผู้ประท้วงเหมือนเช่นเคย แต่มีจำนวนน้อย ยังไม่มีการออกมาใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางในการสลายการชุมนุมเหมือนครั้งก่อน

          ทั้งนี้ คาดว่ากลุ่มผู้ประท้วงจะยังคงปักหลักชุมนุมต่อไป จนกว่าจะได้รับคำตอบที่ชัดเจน ซึ่งก็คงต้องติดตามดูท่าทีของรัฐบาลฮ่องกงต่อไปว่าจะเป็นไปในทิศทางใด